TNR รับรู้ค่าใช้จ่ายลิขสิทธิ์และค่าตัดจำหน่ายใน Q1 เร่งปรับพอร์ตเพิ่มสัดส่วนขาย PLAYBOY และ ONETOUCH(TM)

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 9, 2019 10:40 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--9 พ.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย 'บมจ.ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้' หรือ TNR ผู้ผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุด ในไทย เร่งปรับพอร์ตเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าภายใต้แบรนด์ PLAYBOY และ ONETOUCH(TM) ประเมินภาพรวมไตรมาส 1/62 บริษัทฯ ใช้งบประมาณจัดงานอีเวนต์ให้แก่แบรนด์ PLAYBOY และค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการตลาดอื่น ๆ ส่งผลต่อผลงานโค้งแรกของปีนี้ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย นายอมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR เปิดเผยว่า หลังจากช่วงไตรมาส 2/61 ที่บริษัทฯ เข้าซื้อสิทธิ์การขายและทำการตลาดถุงยางอนามัยและผลิตภัณฑ์เจลหล่อลื่นภายใต้แบรนด์ PLAYBOY ซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ในปีนี้ถือเป็นช่วงของการสื่อสารและทำการตลาดอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน ตลอดจนการปรับพอร์ตสินค้าเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ โดยมุ่งเน้นเพิ่มสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ (OBM) ประกอบด้วย PLAYBOY ซึ่งเป็นแบรนด์หลักที่ใช้เจาะตลาดพรีเมียมในไทยและต่างประเทศ และแบรนด์ ONETOUCH(TM) ที่ทำตลาดระดับกลางในประเทศไทยและกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีกว่าธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) และกลุ่มธุรกิจงานประมูล (Tender) อย่างไรก็ตาม การปรับพอร์ตสินค้าดังกล่าวต้องใช้เวลาในการสร้างฐานการตลาด จึงยังไม่สามารถเห็นผลได้ทันที ขณะที่ภาพรวมการดำเนินงานช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทฯ จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเกิดจากการจัดงาน PLAYBOY CONDOMS GLOBAL SUMMIT ในประเทศไทย ประกอบกับมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ PLAYBOY เช่น ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายและการตลาด ค่าตัดจำหน่ายเครื่องหมายการค้าและค่าลิขสิทธิ์ ในขณะที่ช่วงเดียวกันของปี 61 บริษัทฯ ยังไม่มีค่าใช้จ่ายดังกล่าว โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะเริ่มเกิดขึ้นในไตรมาส 2/61 หลังบริษัทฯ เข้าซื้อสิทธิ์การขายและทำตลาดถุงยางอนามัยและผลิตภัณฑ์เจลหล่อลื่น PLAYBOY นอกจากนี้ยังมีคำสั่งซื้อสินค้าบางส่วนที่เลื่อนส่งมอบเป็นไตรมาส 2/62 จึงส่งผลต่อภาพรวมการดำเนินงานไตรมาสแรกของปีนี้ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดไว้ "ปัจจุบันเราอยู่ระหว่างการปรับพอร์ตสินค้าซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมบริษัทฯ ในระยะยาว จากปัจจุบันที่ยอดขายส่วนใหญ่มาจากกลุ่มธุรกิจรับจ้างผลิตและกลุ่มธุรกิจงานประมูล เราจะหันมาเน้นเพิ่มรายได้จากกลุ่มธุรกิจผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ แทน ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาในการปรับพอร์ต และคาดว่าจะเห็นผลภายในปี 2562 โดยการขยายประเทศคู่ค้าใหม่ ๆ และเพิ่มคำสั่งซื้อสินค้าในประเทศคู่ค้าที่มีอยู่ในปัจจุบันมากขึ้น" นายอมร กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ