จิตเวชโคราชแนะ“ 5 กลุ่มอาหาร 2 เครื่องดื่ม” ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ากินแล้วฟิน!! “ 2 ประเภทอาหารต้องห้าม” ชี้อาจซ้ำเติมอาการ!!

ข่าวทั่วไป Monday June 17, 2019 11:07 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--17 มิ.ย.--โรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ รพ.จิตเวชนครราชสีมาแนะเมนูอาหารผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ชี้อาหารที่ควรทานมีผลดีช่วยเสริมประสิทธิภาพยารักษา มี 5 กลุ่ม อาทิ ปลาช่อน ปลาดุก ไข่ กล้วย เห็ดทุกชนิด และ2 ชนิดเครื่องดื่มที่ควรดื่มคือน้ำอัญชันและน้ำลำไย ช่วยอารมณ์ดี หลับดีขึ้น ส่วนอาหารต้องห้ามทานมี 2 ประเภท เช่นอาหารหวานจัด ไส้กรอก ถั่วปากอ้า และเครื่องดื่ม 3 ชนิด ทั้งชากาแฟ น้ำอัดลมประเภทสีดำทั้งชนิดปกติและชนิดไดเอ็ต และน้ำผลไม้บางชนิด เช่น น้ำตระกูลส้ม ชี้อาจซ้ำเติมอาการป่วย หรือขัดขวางการดูดซึมของยาที่รักษา นายแพทย์กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้อำนวยการโรงพยาบาล( รพ.) จิตเวชนครราชสีมา จ.นครราชสีมา ให้สัมภาษณ์ว่า มีความเป็นห่วงผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ซึ่งทั่วประเทศมีผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 1.4 ล้านคน เฉพาะที่ 4 จังหวัดในเขตสุขภาพที่ 9 ซึ่งอยู่ในความดูแลของรพ.จิตเวชนครราชสีมาฯ ประกอบด้วยนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์และสุรินทร์ ยอดรวมจนถึงเดือนพฤษภาคม 2562 เข้าถึงบริการแล้วร้อยละ 66 จึงขอให้ผู้ที่มีอาการซึมเศร้าที่ยังไม่เข้ารักษาตัวซึ่งมีประมาณร้อยละ 30-40 อย่าอายหมอ ขอให้รีบไปรักษาที่รพ.ที่อยู่ใกล้บ้านทุกแห่ง จะได้หายจากความทุกข์ทรมาน นอกจากนี้ยังได้ให้ฝ่ายเชี่ยวชาญของรพ.จิตเวชฯ วิเคราะห์ประเภทอาหารที่เป็นผลดีและเป็นผลเสียต่อโรคซึมเศร้าและยาที่ใช้รักษา เนื่องจากผู้ป่วยโรคซึมเศร้าส่วนใหญ่จะฟื้นฟูอยู่ที่บ้าน และขณะนี้มีการโฆษณาอาหารต่างๆผ่านทางสื่อจำนวนมาก อาหารบางอย่างอาจมีสารที่มีผลขัดขวางกับฤทธิ์ยารักษาโรคซึมเศร้าได้ ซึ่งรพ.จิตเวชฯให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก เพื่อไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนใดๆซ้ำเติมผู้ป่วยอีก ทางด้านนางจิรัฐิติกาล ดวงสา นักโภชนาการและหัวหน้ากลุ่มงานโภชนาการประจำรพ.จิตเวชนครราชสีมาฯกล่าวว่า อาหารที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าควรรับประทานเพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพยารักษาของแพทย์ยิ่งขึ้น มี 5 กลุ่มและเครื่องดื่มอีก 2 ชนิด โดยอาหาร 5 กลุ่มประกอบด้วย 1.กลุ่มอาหารที่มีกรดไขมันที่ดีต่อสุขภาพช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ คือ โอเมก้า3 ได้แก่ เนื้อปลาต่างๆ อาทิ ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ทูน่า ปลาช่อน ปลาดุก ปลาสวายเนื้อขาว เป็นต้น 2.ไข่ ซึ่งมีกรดอะมิโนที่สำคัญ โดยเฉพาะทริปโตเฟน(Tryptophan) และไทโรซีน (Tyrosine) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ โดยสารทริปโตเฟนจะช่วยสร้างสารซีโรโทนิน (Serotonin)ทำให้อารมณ์ดี และยังเปลี่ยนให้เป็นเมลาโทนิน (Melatonin)ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น 3.กลุ่มกล้วย จะมีแร่ธาตุโพแทสเซียมและมีสารทริปโตเฟน ช่วยบรรเทาให้ความดันโลหิตกลับสู่ภาวะสงบ ลดการเกิดภาวะเครียดและวิตกกังวล 4.กลุ่มคาร์โบไฮเดรทเชิงซ้อน อาทิ ข้าวกล้อง ลูกเดือย ข้าวโพด ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น จะช่วยสร้างสารซีโรโทนินในสมอง ช่วยให้ผ่อนคลาย และ5. กลุ่มเห็ดทุกชนิด จะมีธาตุเซเลเนียม(Celenium )สูง ช่วยกระตุ้นฮอร์โมนแห่งความสุขลดอารมณ์ขุ่นมัวได้ ส่วนเครื่องดื่ม 2 ชนิดที่เป็นผลดีกับอารมณ์เป็นเครื่องดื่มสมุนไพร ได้แก่ 1.น้ำอัญชัน ในดอกอัญชันจะมีสารแอนโทไซยานิน มีฤทธิ์กระตุ้นความจำ ช่วยผ่อนคลายความเครียด ลดความกังวลและช่วยให้นอนหลับ และ2.น้ำลำไยซึ่งมีสาร 2 ชนิดคือกรดแกลลิก (Gallic acid) ทำให้อารมณ์ดี ผ่อนคลาย และสารกาบาช่วยผ่อนคลายความเครียด และช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น สำหรับกลุ่มอาหารที่ผู้ป่วยซึมเศร้าห้ามรับประทาน เนื่องจากจะซ้ำเติมอาการป่วยหรือขัดขวางการดูดซึมยาที่รักษามี 2 ประเภท และเครื่องดื่มอีก 3 ชนิด โดยประเภทอาหารได้แก่ 1.อาหารที่มีน้ำตาลสูง หวานจัด เนื่องจากอาหารที่มีน้ำตาลสูง ร่างกายจะดูดซึมได้เร็วกว่าปกติ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายเกิดภาวะเครียด หากเผชิญเป็นประจำอาจจะนำมาสู่อาการหดหู่ซึมเศร้าได้ 2.อาหารประเภทไส้กรอก และถั่วปากอ้า ซึ่งมีสารไทรามีนสูง สามารถทำปฏิกิริยากับยารักษาโรคซึมเศร้าบางชนิด เช่น ยาเซเลจิลีน (Selegiline) จะส่งผลให้มีสภาวะความดันโลหิตสูงได้ " เครื่องดื่ม 3 ชนิด ที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าไม่ควรดื่มเป็นอย่างยิ่ง คือ 1. ชา-กาแฟ เนื่องจากมีปริมาณคาเฟอีนสูง ทำให้นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย หากดื่มเกินกว่า 2 แก้วต่อวัน จะทำให้ปริมาณคาเฟอีนในร่างกายสูง ทำให้วิตกกังวล ใจสั่นและเครียดเพิ่มขึ้น 2.น้ำอัดลมโดยเฉพาะน้ำอัดลมประเภทสีดำเนื่องจากมีทั้งปริมาณคาเฟอีนและน้ำตาลสูง รวมทั้งน้ำอัดลมประเภทสีดำและไดเอต มีงานวิจัยจากสถาบันการศึกษาด้านประสาทวิทยาในต่างประเทศพบว่า กลุ่มผู้บริโภคเครื่องดื่มที่มีสารให้ความหวานแทนน้ำตาล 4 กระป๋อง หรือ 4 แก้วต่อวัน จะมีความเสี่ยงเกิดโรคซึมเศร้าได้มากกว่าคนปกติ 3 เท่า ผู้ป่วยซึมเศร้าจึงควรเลี่ยงดื่มจะดีที่สุด และ 3 .น้ำผลไม้บางชนิดเช่น น้ำในตระกูลส้ม เสาวรส น้ำองุ่นหรือเกรฟฟรุต เป็นต้น อาจทำปฏิกิริยากับยาที่ใช้รักษา ทำให้ตัวยาไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อการรักษาเท่าที่ควร" นางจิรัฐิติกาล กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ