กว่าจะมาเป็นน้ำมันมะกอก: เรื่องราวการผลิตที่ใส่ใจคุณภาพในทุกๆ ขั้นตอน

ข่าวทั่วไป Thursday August 1, 2019 09:35 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--1 ส.ค.--ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรทีจีส์ แสงแดดอ่อนๆ ยามเย็นจากดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าบอกเวลาเลิกงาน เหล่าพนักงานออฟฟิศต่างมุ่งหน้าเดินทางกลับบ้านท่ามกลางสภาพการจราจรเมืองหลวงที่หนาแน่นจนแทบจะไม่ขยับ ทันทีที่หลุดพ้นจากความวุ่นวายเหล่านั้น หลายคนก็นึกถึงมื้อเย็นแสนอร่อยที่ตั้งสำรับรออยู่ที่บ้านให้ได้เติมพลังและคลายความเหนื่อยล้าที่เผชิญมาตลอดวัน รสชาติอันเป็นเลิศของอาหารแต่ละจานเกิดจากความละเมียดละไมในการเลือกใช้ส่วนผสมและวัตถุดิบครบรส ไม่ว่าจะเป็น การปรุงด้วยเครื่องเทศและสมุนไพร เพื่อเติมรสชาติให้กลมกล่อมลงตัว หรืออีกหนึ่งเคล็ดลับที่ขาดไม่ได้คือ น้ำมันที่ใช้ในการปรุงอาหาร ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นตัวช่วยชั้นดีในการสร้างรสสัมผัสและดึงรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ให้กับเมนูโปรดได้อย่างน่าทึ่ง เบื้องหลังอาหารจานอร่อยนั้น สำคัญที่การเลือกใช้น้ำมันปรุงอาหารที่ดีที่สุดและเหมาะกับทุกกรรมวิธีการปรุง ไม่ว่าจะเป็น การ อบ ทอด ย่าง หมัก ราดเส้นพาสต้า หรือเพิ่มรสให้กับสลัดผักแสนโปรดของคุณ นอกจากนั้นยังต้องเป็นน้ำมันที่อุดมไปด้วยไขมันชนิดดี ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภคชาวไทยที่ใส่ใจในสุขภาพ งานวิจัยภายใต้โครงการ "อาหารไทยหัวใจดี" โดยมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ร่วมกับคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ระบุว่าน้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย สามารถช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคต่างๆ อาทิ เบาหวาน มะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือดเนื่องจากอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว วิตามินอีและเค รวมถึงกรดไขมัน โอเมก้า เห็นได้ชัดว่า ทุกวันนี้คนไทยต่างเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังเป็นประเทศแรกในแถบภูมิภาคอาเซียนที่ประกาศมาตรการเลิกใช้ไขมันทรานส์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ในส่วนของผู้บริโภคเองนั้นให้ความสำคัญด้านคุณภาพของวัตถุดิบที่นำมาประกอบอาหารมากขึ้น อ้างอิงจากผลสำรวจโดยสถาบันข้อมูลอาหารนานาชาติ (International Food Information Council Foundation) ซึ่งรายงานว่าผู้บริโภคชาวไทยในยุคปัจจุบันใส่ใจเรื่องราวและที่มาของอาหารแต่ละจาน ไม่ว่าจะเป็นในแง่กรรมวิธีการผลิตและคุณประโยชน์ที่จะได้รับ พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปโดยเน้นใส่ใจด้านสุขภาพเช่นเดียวกับคุณภาพการผลิตนี้ทำให้น้ำมันมะกอกเบอร์ทอลลี่ขึ้นแท่นเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทย นายโฮเซ่ มาเรีย เซกราโด ฮิเมเนส ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดต่างประเทศ ของดีโอเลโอ กล่าวว่า "ดีโอเลโอและเบอร์ทอลลี่ ในฐานะผู้นำด้านการผลิตน้ำมันมะกอกระดับโลกพร้อมประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนานกว่า 150 ปี เราเชื่อว่า น้ำมันมะกอกคุณภาพดีได้มาจากวัตถุดิบที่ดีที่สุดเท่านั้น เราจึงมุ่งมั่นใส่ใจคุณภาพในทุกกระบวนการผลิตเพื่อส่งมอบน้ำมันมะกอกชั้นเลิศให้ผู้บริโภคได้อิ่มอร่อยกับมื้อพิเศษในทุกๆ วัน" ก่อนที่คุณจะตักผักสลัดจานโปรดที่เสริมความอร่อยด้วยน้ำมันมะกอกชนิดเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้นหรือ เพลิดเพลินกับการปิ้งเนื้อบาร์บีคิวที่หมักจนนุ่มได้ที่ด้วยน้ำมันมะกอกชนิดเอ็กซ์ตร้าไลท์ วันนี้เรามีเรื่องราวน่าสนใจเกี่ยวกับขั้นตอนการผลิตน้ำมันมะกอกเบอร์ทอลลี่ที่เรียกได้ว่าพกความพิถีพิถันมาตั้งแต่การเก็บเกี่ยวผลจากต้น เสิร์ฟตรงถึงจานมาให้ทุกคนได้รู้จักกันมากขึ้น การเก็บเกี่ยว น้ำมันมะกอกที่ดีนั้นได้มาจากวัตถุดิบสำคัญอันแสนเรียบง่ายเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือผลมะกอกนั่นเอง ในขณะที่ไวน์ชั้นเลิศเกิดการจากบ่มด้วยระยะเวลานาน การผลิตน้ำมันมะกอกนั้นกลับกัน เพราะว่ามะกอกจะให้คุณค่าทางโภชนาการและสารต้านอนุมูลอิสระที่มากกว่าเมื่อเก็บจากต้นทันทีที่สุกเต็มที่ วิธีการนี้นอกจากจะช่วยการันตีคุณภาพน้ำมันมะกอกที่ดีที่สุดแล้ว ยังช่วยให้ต้นมะกอกเองได้มีระยะเวลาฟื้นตัวอย่างเพียงพอก่อนเตรียมความพร้อมในฤดูเก็บเกี่ยวรอบถัดไป ยิ่งไปกว่านั้น เบอร์ทอลลี่ยังให้ความสำคัญด้านกรรมวิธีการผลิตแบบออร์แกนิคและยั่งยืน โดยหลีกเลี่ยงจากใช้สารเคมีสังเคราะห์และหมั่นตรวจสอบคุณภาพผลผลิตตลอดฤดูเพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีที่สุด กรรมวิธีการสกัด หลังจากที่ชาวไร่เก็บผลมะกอกจากต้นด้วยมือแล้ว ผลผลิตที่ได้จะถูกลำเลียงไปยังโรงสกัดทันที เบอร์ทอลลี่ควบคุมขั้นตอนนี้ให้เกิดขึ้นภายใน 10 ชั่วโมงเพื่อรักษาความสดใหม่ ทั้งยังคงรสชาติและคุณค่าทางอาหารสูงสุด น้ำมันมะกอกที่ดีวัดได้จากค่ากรดไขมันที่ต่ำ สอดคล้องกับแนวคิดของเบอร์ทอลลี่ที่ว่า ยิ่งเก็บเกี่ยวผลมะกอกและสกัดได้เร็วเท่าไร ยิ่งดีเท่านั้น เพราะว่าน้ำมันมะกอกที่ได้จะมีค่ากรดไขมันที่ต่ำกว่า จึงส่งผลดีต่อสุขภาพยิ่งกว่า บรรจุภัณฑ์ ดีไซน์ขวดแก้วสีเขียวอ่อนๆ ที่ใช้บรรจุน้ำมันมะกอกของเบอร์ทอลลี่นั้นไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยรักษาคุณภาพของน้ำมันมะกอกตลอดอายุการใช้งาน เช่น ขวดสีเขียวของน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้นที่ทำหน้าที่ป้องกันน้ำมันจากความร้อน แสง และออกซิเจนอย่างมีประสิทธิภาพ ฉลากกำกับบนขวดยังบอกรายละเอียดและข้อมูลต่างๆ อย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้บริโภคทราบถึงวิธีการใช้ที่เหมาะสม รวมถึงวันเดือนปีที่ผลิต และวันหมดอายุ "เราภูมิใจที่ได้มีส่วนช่วยสนับสนุนให้ผู้บริโภคชาวไทยมีสุขภาพที่ดีจากการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และได้ช่วยจุดประกายการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ที่ไม่ทำลายสุขภาพ ด้วยผลิตภัณฑ์น้ำมันมะกอกที่อุดมไปด้วยนานาประโยชน์ ทั้งด้านคุณค่าทางโภชนาการ โดดเด่นด้วยคุณภาพ อีกทั้งยังเหมาะกับกรรมวิธีการปรุงอาหารที่หลากหลาย ส่งผลให้ผู้บริโภคอิ่มอร่อยแบบสุขภาพดีได้ในทุกๆ วัน" นายโฮเซ่กล่าวเสริม เกี่ยวกับเบอร์ทอลลี่(R) เบอร์ทอลลี่(R) ก่อตั้งโดย มร. ฟรานเชสโก เบอร์ทอลลี่ ในปี 1865 ที่เมืองลุคคา แคว้นทัสคานี แบรนด์เบอร์ทอลลี่(R) ถือเป็นหัวใจสำคัญในการประกอบอาหารอิตาเลียนและวัฒนธรรมการกินแบบอิตาเลียน ในฐานะแบรนด์น้ำมันมะกอกที่เป็นที่ชื่นชอบในระดับโลก (ภายใต้แบรนด์ดีโอเลโอ) มานานกว่า 150 ปี พันธกิจของเบอร์ทอลลี่(R) คือการรักษาคุณภาพ ความมุ่งมั่นในการดึงความพิเศษจากส่วนผสมต่างๆตามธรรมชาติออกมาให้กับการปรุงอาหาร และการรักษาวัฒนธรรมในการสรรค์สร้างอาหารให้มีรสชาติโดดเด่น สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ https://www.facebook.com/BertolliTH/

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ