'พรินซิเพิล’ แนะทยอยซื้อ REITs ในไทยหลังราคาสินทรัพย์ปรับฐาน โชว์ผลงานกองทุน 'พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม พลัส เฮลท์’ โดดเด่น ให้ผลตอบแทนช่วง 11 เดือนนับจากจัดตั้งกองที่ 17.81% นักลงทุนแฮปปี้รับปันผล 0.75 บาทต่อหน่วย

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 1, 2019 13:03 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--1 ส.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย บลจ.พรินซิเพิล มองแนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลังยังมีความผันผวน หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสลดดอกเบี้ยนโยบายจากปัจจัยเศรษฐกิจชะลอตัว แนะเป็นจังหวะทยอยลงทุน REITs ในไทยเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นหลังราคาสินทรัพย์มีการปรับฐาน เนื่องจากอัตราเช่าพื้นที่และค่าเช่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ชูกองทุนเปิด 'พรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม พลัส เฮลท์' ที่มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารหมวดอสังหาริมทรัพย์ พร้อมรับสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองด้านประกันชีวิตและสุขภาพ เป็นทางเลือกแก่นักลงทุนที่ต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี โชว์ผลตอบแทนนับจากจัดตั้งกองทุนฯ (1 ส.ค. 2561 - 30 มิ.ย. 2562) ระยะเวลา 11 เดือน อยู่ที่ 17.81% และในปีนี้จ่ายเงินปันผลแล้ว 2 ครั้ง รวม 0.75 บาทต่อหน่วย นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด ("บลจ.พรินซิเพิล") เปิดเผยว่า บลจ.พรินซิเพิล ประเมินทิศทางการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองรีทส์ (REITs) ในประเทศไทยช่วงครึ่งปีหลัง ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีจากการคาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่อัตราเฉลี่ย 4%-5% เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนเชิงบวกต่อสินทรัพย์ของกองทุนประเภทดังกล่าว เช่น อุปสงค์ในตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าปัจจุบันที่มีอยู่อย่างจำกัด อัตราค่าเช่าพื้นที่และค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลังยังมีความผันผวนสูงจากการดำเนินนโยบายปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะส่งผลให้เกิดกระแสเงินไหลเข้าสู่กอง REITs ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีลักษณะ Yield Play Assets หรือ สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนจากการจ่ายเงินปันผล นอกจากนี้ ด้วยราคาสินทรัพย์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองรีทส์ (REITs) ที่ปรับลดลงตั้งแต่ในช่วงที่ผ่านมาจากแรงเทขายทำกำไรของนักลงทุน หลังราคาสินทรัพย์ประเภทดังกล่าวได้ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 20% ซึ่งการปรับฐานดังกล่าวเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในครึ่งปีหลังราคาสินทรัพย์จะปรับตัวลดลงไม่มากนัก และเป็นโอกาสดีของนักลงทุนที่จะทยอยเข้าลงทุนในกอง REITs ในจังหวะที่ราคาหน่วยลงทุนถูกลง แม้ว่า valuation และราคาของ REITs โดยรวมอาจถือได้ว่าราคาไม่ถูกนัก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. พรินซิเพิล กล่าวว่า ด้วยมุมมองดังกล่าว จึงแนะนำทยอยเข้าลงทุนในกองทุนเปิด 'พรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม พลัส เฮลท์' หรือ Principal Property Income Plus Health Fund (PRINCIPAL iPROPPLUS) (กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ (Property Sector Fund) ดังนั้นหากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าวผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก) แนะนำให้ลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ต ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเป็น 10%-20% ของมูลค่าพอร์ตรวม เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในภาวะที่ตลาดการเงินโลกมีความไม่แน่นอน โดยกองทุนดังกล่าวเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา ถือเป็นทางเลือกของนักลงทุนในการรับผลตอบแทนที่ดีและต่อเนื่องในระยะยาว จากการลงทุนในกองทุนรวมหน่วยลงทุนอสังหาริมทรัพย์ พร้อมจุดเด่นเพื่อเพิ่มโอกาสในการมอบสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองด้านประกันชีวิตและสุขภาพ (ตามเงื่อนไข) โดยบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ผู้ลงทุนสามารถได้รับสิทธินี้เมื่อลงทุนในกองทุนตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป จากแผนความคุ้มครองทั้งหมด 5 แผนตามมูลค่าเงินลงทุน เราเชื่อว่ากองทุน PRINCIPAL iPROPPLUS มีนโยบายการลงทุนทีดีเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวและโอกาสรับผลตอบแทนจากเงินปันผล ในขณะที่ได้รับเพิ่มเติมในสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองประกันชีวิตและสุขภาพ ทั้ งนี้ กองทุน PRINCIPAL iPROPPLUS มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารหมวดอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้กลยุทธ์คัดเลือกสินทรัพย์รายตัวในลักษณะ Bottom-up โดยเฉพาะกลุ่มที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีเครือข่ายผู้จัดการกองทุนของ บลจ. พรินซิเพิล เน้นการศึกษาเชิงลึกเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี มีสภาพคล่องเพียงพอ และซื้อขายในราคาที่เหมาะสม ขณะที่ผลการดำเนินงานกองทุนฯ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยให้อัตราผลตอบแทนนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนฯ (1 สิงหาคม 2561 - 30 มิถุนายน 2562) เป็นระยะเวลา 11 เดือน อยู่ที่ 17.81% และในปีนี้จ่ายเงินปันผลแล้ว 2 ครั้ง รวม 0.75 บาทต่อหน่วย โดยครั้งแรกจ่ายในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย และครั้งที่ 2 จะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 7 สิงหาคม 2562 อัตรา 0.50 บาทต่อหน่วย กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ (Property Sector Fund) ดังนั้นหากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าวผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก/ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า (กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน/ กองทุนมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ กองทุนอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/ หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าทุนเริ่มแรกได้/ ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีมูลค่าเงินลงทุนตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไปมีสิทธิได้รับความคุ้มครองประกันชีวิต และประกันสุขภาพ โดยบลจ.เป็นผู้รับภาระในการชำระค่าเบี้ยประกันทั้งหมด โดยรวมอยู่ในค่าธรรมเนียมการจัดการของกองทุนรวม/ ทั้งนี้โปรดศึกษารายละเอียดเงื่อนไขการจ่ายเงินปันผลเพิ่มเติมในหนังสือชี้ชวนข้อมูลโครงการ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ