ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด : ผลสำรวจชี้ภาคธุรกิจและนักลงทุนหวังรัฐบาลเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday October 11, 2019 17:35 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--11 ต.ค.--ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดทำการสำรวจความคิดเห็นภาคธุรกิจและนักลงทุนในงานสัมมนาประจำปีของธนาคารฯ เผยภาคธุรกิจและนักลงทุนหวังรัฐบาลเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จากการสำรวจความคิดเห็นในงานสัมมนา พบว่าแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกและการขาดปัจจัยกระตุ้นภายในทำให้ธุรกิจ และนักลงทุน มีมุมมองต่อการทำธุรกิจของตนในช่วง 6 เดือนข้างหน้าแบบระมัดระวัง "ประเด็นที่เป็นห่วงมากที่สุดคือสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน หากมีความตึงเครียดมากขึ้น โดยครึ่งหนึ่งของผลสำรวจของเราบอกว่า ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งนี้แล้ว ในขณะที่ 30% คิดว่ากำลังจะได้รับผลกระทบในไม่ช้า" นายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าว "หากสงครามการค้ามีทางออกที่คลี่คลาย จะเป็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญไปอีก 2-3 ปีข้างหน้า แต่หากยังไม่มีทางออก ก็ไม่เห็นปัจจัยหรือมาตรการอื่นที่จะช่วยผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกได้ ซึ่งหมายความว่า นโยบายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการเงิน ถูกมองว่าอาจจะมีประสิทธิภาพน้อยลงในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ซึ่ง เป็นเรื่องที่นักลงทุนกังวลเป็นอย่างมาก" แม้จะมองว่านโยบายทางการเงิน มีความเป็นไปได้ที่จะมีบทบาทน้อยลงในการช่วยดูแลเศรษฐกิจ แต่เกือบ 80% ของผลสำรวจคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก นอกจากนั้น ยังคาดหวังให้รัฐบาลเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจและนักลงทุนยังคงอยู่ในช่วงระมัดระวัง เนื่องจากยังมีประเด็นที่ต้องติดตามทางการเมือง ที่อาจเกี่ยวเนื่องกับกระบวนการพิจารณางบประมาณปี 2563 ในด้านอัตราแลกเปลี่ยน ผลสำรวจสะท้อนว่าบาทแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐาน โดย 60% บอกว่าได้รับผลกระทบจากการที่เงินบาทแข็งค่า และการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนมีความยากลำบากขึ้น รวมทั้ง สูญเสียตลาดส่งออกอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การที่บาทแข็งค่า ช่วยธุรกิจบางส่วนในแง่ของการนำเข้า ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดมีมุมมองเศรษฐกิจไทยชะลอตัวในระยะสั้น โดยธนาคารฯ ยังมองว่าเศรษฐกิจไทยยังสามารถขยายตัวได้ 3% ในปีนี้ แต่นั่นเป็นเพียงเพราะการกระตุ้นในครึ่งปีหลังบนฐานเดิมที่ต่ำ การเติบโตทั้งภายในและภายนอกยังเป็นไปอย่างชะลอตัว และยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจน ธนาคารฯ คาดว่า ธปท. จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ในช่วงไตรมาสนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ 1.25% ณ สิ้นปี "เราคิดว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าเกินพื้นฐาน น่าจะมีการพัก หรือปรับฐาน โดยเราคาดว่า เงินบาทมีโอกาสอ่อนตัวลงตามสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในช่วงปลายปีนี้ เรามองค่าเงินบาทอยู่ที่ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในสิ้นปี 2562" นายทิมสรุป

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ