กรุงเทพฯ--10 มี.ค.--ก.พ.
สำนักงาน ก.พ. หารือบริษัทเอกชนชั้นนำ เพื่อศึกษาแนวทางการพิจารณาเลื่อนเงินเดือน และนำมาปรับใช้ในระบบบริหารทรัพยากรบุคคล ตาม พ.ร.บ. ใหม่ เอกชนแนะ ควรเน้นแบบค่อยเป็นค่อยไป คำถึงถึงข้าราชการส่วนใหญ่ สร้างแรงจูงใจ และเหมาะกับองค์กร พร้อมเดินหน้าเพิ่มผู้เชี่ยวชาญในคณะทำงานฯ
สำนักงาน ก พ. จัดประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่อง “การบริหารค่าตอบแทน” ร่วมกับภาคเอกชน โดยนายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการ ก.พ. เป็นประธานการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทั้งนี้มีผู้บริหารจากภาคเอกชน ประกอบด้วย บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. เคมีคอล จำกัด (มหาชน) และบริษัท กระจกไทย — ฮาซาฮี จำกัด รวมทั้งสำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลาง ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในครั้งนี้
นายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการ ก.พ. เปิดเผยถึงความคืบหน้าในเรื่องแนวทางการบริหารค่าตอบแทน ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ว่า “ตามที่สำนักงาน ก.พ. ได้ดำเนินการเรื่องการปรับเปลี่ยนระบบบริหารทรัพยากรบุคคล ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 โดยได้จัดประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับภาคเอกชน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์มาตรฐานการทำงานเรื่องนี้ ซึ่งความคิดเห็นดังกล่าวจะเป็นแนวทางหนึ่งที่สำนักงาน ก.พ. จะนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับการปรับเปลี่ยนระบบบริหารทรัพยากรบุคคลแบบใหม่ ทั้งนี้ คณะทำงานชุดย่อยที่ดำเนินการเรื่องนี้โดยจะพัฒนาโครงสร้างให้มีผู้เกี่ยวข้องและมีเป็นผู้เชี่ยวชาญร่วมอยู่ ในคณะทำงานดังกล่าว โดยการดำเนินงานจะพิจารณาถึงผลกระทบต่าง ๆ ของข้าราชการอย่างรอบด้าน ซึ่งคณะทำงานประกอบด้วย ตัวแทนจากสำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง และสำนักงาน ก.พ. ร่วมศึกษาวิเคราะห์รูปแบบต่าง ๆ ของการบริหารค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับระบบราชการและ การแข่งขันในตลาดแรงงานในปัจจุบัน”
ในการนี้ ผู้บริหารจากภาคเอกชนได้ร่วมให้ความเห็นว่า กรอบการพิจาณาค่าตอบแทนของ ภาคธุรกิจส่วนใหญ่คำนึงถึงตลาดแรงงานโดยรวมและตลาดเฉพาะแต่ละอุตสาหกรรมในขณะนั้น การคำนึงถึงสถานการณ์หรือผลกำไรของบริษัท รวมทั้งการพิจารณาจากผลงานและพฤติกรรม ของพนักงานแต่ละคนเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ ภาคเอกชนส่วนใหญ่มีความคิดเห็นโดยเสนอต่อที่ประชุมดังนี้
1) เสนอให้เพิ่มผู้เชี่ยวชาญและเกี่ยวข้องในการดำเนินงานเรื่องนี้ในคณะทำงานย่อยเรื่อง การบริหารค่าตอบแทน ซึ่งประกอบด้วย ตัวแทนจากสำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง และสำนักงาน ก.พ. เพื่อร่วมดำเนินการศึกษาวิเคราะห์แนวทางการดำเนินงานเพื่อปรับใช้กับระบบบริหารทรัพยากรบุคคล ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
2) การเลือกใช้ระบบบริหารค่าตอบแทนใดๆ ควรคำนึงถึงบุคลากรส่วนใหญ่ว่ามีค่าตอบแทนอยู่ในระดับใด และระบบใดจะสามารถสร้างแรงจูงใจในการทำงานและสะท้อนค่างานหรือผลงานได้อย่างดี เช่น การคิดค่าตอบแทนแบบ mid point ในบริษัทเอกชนซึ่งบุคลากรส่วนใหญ่มีฐานเงินเดือนต่ำกว่าระดับ mid point ทำให้การเลื่อนเงินเดือนเป็นไปได้เร็ว กระตุ้นการทำงานที่มีประสิทธิภาพ พนักงานส่วนใหญ่จึงเห็นด้วยและสนับสนุนระบบดังกล่าว เป็นต้น
3) ดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป และมีการทบทวนการดำเนินงานเป็นระยะเพื่อปรับ ให้เหมาะสมกับระบบบริหารราชการมากที่สุด
4) สร้างการมีส่วนร่วมและคำนึงถึงข้าราชการทุกระดับ โดยสามารถสร้างแรงจูงให้เกิดขึ้นในการทำงาน
5) ใช้การสื่อสารเป็นเครื่องมือทำความเข้าใจกับข้าราชการอย่างทั่วถึง ซึ่งในขณะนี้ถือเป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่าน โดยการปรับเปลี่ยนระบบบริหารทรัพยากรบุคคลตามพระราชบัญญัตินี้ถือเป็นเรื่องใหญ่และมีความสำคัญ ถือเป็นการเปลี่ยนวิธีคิด ปรับวัฒนธรรมไปจากเดิมอย่างมาก
ทั้งนี้ ความคิดเห็นและแนวทางดังกล่าวเป็นแนวทางที่สำนักงาน ก.พ.จะนำไปปรับใช้ในการดำเนินงานปรับเปลี่ยนระบบบริหารทรัพยากรบุคคล ตามพระราชบัญญัติใหม่ให้เกิดประสิทธิภาพต่อไป