ฟิทช์คงอันดับเครดิต บมจ. ปูนซีเมนต์นครหลวง ที่ 'A(tha)’ แนวโน้มเครดิตยังคงเป็นลบ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 23, 2020 08:27 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--23 มี.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC เป็นลบ และประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของบริษัทฯ ที่ 'A(tha)’ รวมถึงคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิ ที่ 'A(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ที่ 'F1(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ สะท้อนถึงความเสี่ยงที่ยังคงมีอยู่ในการที่ SCCC จะสามารถลดอัตราส่วนหนี้สินมาสู่ระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันได้ภายในปี 2564 จากการที่สภาวะเศรษฐกิจและตลาดที่ต้องเผชิญความท้าทายจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ฟิทช์มองว่าการแพร่กระจายของโรคระบาดที่รุนแรงขึ้นในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคจะยังคงรุนแรงต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ซึ่งจะกดดันเศรษฐกิจมหภาคของประเทศที่มีการแพร่ระบาด และทำให้กิจกรรมต่างๆ ของภาคธุรกิจ รวมถึงการก่อสร้างลดลงในปี 2563 ฟิทช์ประเมินว่าผลกระทบต่อ SCCC น่าจะจำกัดในช่วงปี 2563 และฟื้นตัวได้ในปี 2564 อย่างไรก็ตาม การลดลงของรายได้ และ กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ SCCC ในช่วงเวลาที่อัตราส่วนหนี้สินอยู่ในระดับสูง อาจทำให้บริษัทฯ ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปีในการลดอัตราส่วนหนี้สินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับอันดับเครดิต ปัจจัยที่มีความสำคัญต่อกการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตมาอยู่ที่ระดับมีเสถียรภาพ อยู่ที่ความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ที่จะต้านทานปัจจัยลบต่างๆ ทางธุรกิจ และความสามารถในการรักษาสถานะทางการเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2.5 เท่า ณ สิ้นปี 2564 ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต ความเสี่ยงต่ออัตราส่วนหนี้สิน – ฟิทช์คาดว่า FFO adjusted net leverage ของ SCCC จะอยู่ในระดับที่สูงประมาณ 2.6-3.2 เท่า ณ สิ้นปี 2563-2564 (ณ สิ้นปี 2562 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 3.0 เท่า) โดยมีสมมติฐานว่า EBITDA ของบริษัทฯ ในปี 2563 จะลดลงประมาณร้อยละ 10 และฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับปกติได้ในปี 2564 อัตราส่วนหนี้สินของ SCCC เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2559 จากการเข้าซื้อกิจการต่างๆ หลายบริษัท โดยสูงสุดที่ 4.6 เท่า ณ สิ้นปี 2560 ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะลดอัตราส่วนหนี้สิน ด้วยการลดค่าใช้จ่ายลงทุนและการจ่ายเงินปันผล รวมถึงมีมาตรการต่างๆ ในการเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ฟิทช์คาดว่า SCCC จะยังไม่มีการขยายธุรกิจอย่างนัยสำคัญ และคาดว่าบริษัทฯ จะรักษาวินัยในการใช้จ่ายเงินและการลงทุนในช่วงสองปีข้างหน้า EBITDA ลดลงในปี 2563 – ฟิทช์ประมาณการรายได้ของ SCCC ลดลงในอัตราร้อยละ 4-6 ในปี 2563 ในขณะเดียวกัน อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA margin) ก็ลดลงมาอยู่ในระดับร้อยละ 17.5 จากร้อยละ 18.5 ในปี 2562 ฟิทช์คาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวกลับมาได้ในปี 2564 การเติบโตของกิจกรรมการก่อสร้างทั้งภาครัฐและเอกชนน่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ถึงแม้ว่าโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างน่าจะดำเนินต่อไปได้จนกว่ารัฐบาลจะมีการประกาศมาตรการปิดเมือง หรือห้ามดำเนินกิจกรรมใดๆ อย่างจริงจัง ในปี 2562 รายได้จากการขายในประเทศไทยของ SCCC เติบโตในอัตราประมาณร้อยละ 5 ในขณะที่รายได้จากการส่งออกและธุรกิจเทรดดิ้งวัสดุก่อสร้างและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ เติบโตสูงถึงร้อยละ 60 ซึ่งช่วยชดเชยการลดลงของรายได้และกำไรจากธุรกิจในภูมิภาค การกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ที่ดี – SCCC เป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ระดับภูมิภาค โดยมีการกระจายตัวของธุรกิจในภูมิภาคเอเชียหลายประเทศ ได้แก่ ศรีลังกา เวียดนาม บังคลาเทศ และกัมพูชา (ผ่านกิจการร่วมค้า) กำลังการผลิตปูนซีเมนต์ภายนอกประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 36 ของกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ทั้งหมดของ SCCC (ไม่รวมกิจการร่วมค้าในกัมพูชา) ในขณะที่รายได้จากต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 47 ของรายได้ทั้งหมดในปี 2562 การกระจายความเสี่ยงของแหล่งที่มาของรายได้ในเชิงภูมิศาสตร์ของ SCCC จะช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงตลาดภายในประเทศเพียงตลาดเดียว และช่วยให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีความสม่ำเสมอมากขึ้น โดย EBITDA จากธุรกิจในภูมิภาคสามารถช่วยชดเชยผลกำไรที่ลดลงในประเทศไทยในปี 2560 ในขณะที่ธุรกิจในประเทศไทยกลับมาเป็นธุรกิจที่สร้างอัตราการเติบโตในปี 2562 ซึ่งเป็นปีที่ธุรกิจในภูมิภาคซบเซา ตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่ง – SCCC เป็นบริษัทผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับร้อยละ 29 โดยวัดจากยอดขาย ในปี 2562 บริษัทฯ สามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดของตนเองไว้ได้ในช่วงที่มีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาในตลาด และมีการแข่งขันที่รุนแรงภายในประเทศมากขึ้นในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา โดยอาศัยชื่อเสียงของตราสินค้าของบริษัทฯ ความยืดหยุ่นในการปรับราคาสินค้า นอกจากนี้ SCCC ยังมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งสำหรับธุรกิจในภูมิภาค โดยเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดและผู้ผลิตปูนเม็ดเพียงรายเดียวในประเทศศรีลังกา ด้วยส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 33 และเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเวียดนามใต้ ด้วยส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 21 ในปี 2562 ผลการดำเนินงานมีความอ่อนไหวต่อราคาพลังงาน – EBITDA margin ของบริษัทฯ มีความอ่อนไหวต่อระดับราคาพลังงาน โดยเฉพาะราคาถ่านหินและค่าไฟฟ้า ต้นทุนเชื้อเพลิงและไฟฟ้าโดยทั่วไปมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 60 ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ราคาถ่านหินโดยเฉลี่ยในปี 2562 ลดลงจากฐานราคาที่สูงในปี 2561 ฟิทช์คาดว่าราคาถ่านหินจะคงอยู่ในระดับต่ำในปี 2563 ซึ่งน่าจะเป็นผลดีกับบริษัทฯ การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป SCCC มีสถานะทางธุรกิจที่ด้อยกว่าบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC (อันดับเครดิตปัจจุบัน 'A+(tha)’ แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) ซึ่งอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์เช่นเดียวกัน ในด้านขนาดของธุรกิจ ด้วยฐานะผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์และทางธุรกิจที่มากกว่า ทำให้ SCC มีสถานะทางธุรกิจและการเงินที่แข็งแกร่งกว่า SCCC และได้รับการจัดอันดับเครดิตที่สูงกว่า SCCC หนึ่งอันดับ ทั้งนี้ ทั้งสองบริษัทมีแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ ซึ่งสะท้อนถึงอัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับสูง อันเป็นผลจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่อ่อนแอลงและแผนการลงทุนขนาดใหญ่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL (อันดับเครดิตปัจจุบัน 'A(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีกอาหาร ที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิตในระดับที่เท่ากับ SCCC CPALL มีขนาด EBITDA ที่มากกว่า SCCC มาก และมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่า โดย CPALL เป็นผู้นำในธุรกิจร้านสะดวกซื้อของประเทศไทย ดังนั้น CPALL จึงสามารถที่จะรองรับอัตราส่วนหนี้สินในระดับที่สูงกว่า SCCC ได้ในอันดับเครดิตที่เท่ากัน สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ รายได้โดยรวมลดลงร้อยละ 4-5 ในปี 2563 โดย ธุรกิจในประเทศไทย รายได้ลดลงร้อยละ 5 (ลดลงร้อยละ 20 ในช่วง 3 เดือนที่สถานการณ์โรคระบาดรุนแรง และไม่มีการเติบโตในช่วง 9 เดือนที่เหลือของปี) และธุรกิจในภูมิภาค รายได้ลดลงร้อยละ 2-5รายได้โดยรวมฟื้นตัว ด้วยอัตราการเติบโตของรายได้ ร้อยละ 7-8 ในปี 2564 และร้อยละ 4-5 ในปี 2565 ซึ่งเป็นการฟื้นตัวของธุรกิจในทุกประเทศEBITDA margin ลดลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 17.5 ในปี 2563 และฟื้นตัวมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 18-19 ในปี 2564ค่าใช้จ่ายลงทุนรวม 5.0 พันล้านบาท ในช่วงปี 2563 – 2565อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) อยู่ในระดับร้อยละ 80-85 ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต ปัจจัยบวก: แนวโน้มอันดับเครดิตอาจกลับมามีเสถียรภาพได้หาก SCCC มี FFO adjusted net leverage ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 2.5 เท่า ภายในปี 2564 (ตามตัวเลขประมาณการ) ปัจจัยลบ: การที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ อ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือการมีค่าใช้จ่ายลงทุนโดยใช้เงินกู้ในระดับสูง และการจ่ายเงินปันผลจำนวนมาก ส่งผลให้ FFO adjusted net leverage ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 2.5 เท่า ณ สิ้นปี 2564 (ตามตัวเลขประมาณการ) สภาพคล่อง สภาพคล่องอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้: SCCC มีหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้า นับจาก สิ้นปี 2562 จำนวน 6.2 พันล้านบาท โดยร้อยละ 44 เป็นเงินกู้ยืมระยะสั้นและวงเงินหมุนเวียนที่ใช้สำหรับบริหารเงินทุนหมุนเวียน สภาพคล่องของบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดในมือจำนวน 4.8 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 และความสามารถในการหาแหล่งเงินทุนมาชำระหนี้ โดยอาศัยความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ และประวัติที่ดีในการเข้าถึงเงินทุนผ่านตลาดทุนและสถาบันการเงิน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการขอวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนจากสถาบันการเงินจำนวน 3.0 พันล้านบาท บริษัทฯ คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 โดยวงเงินดังกล่าวจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับบริษัทฯ ในช่วงสามปีข้างหน้า

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ