'PRM’ โชว์ผลงานการเติบโต ทำกำไรสุทธิ 295.5 ล้านบาท รับกลุ่มธุรกิจเรือ FSU และขนส่งภายในประเทศสุดแกร่ง มั่นใจแนวโน้มครึ่งปีร้อนแรงต่อเนื่อง

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 14, 2020 10:39 —ThaiPR.net

'PRM’ โชว์ผลงานการเติบโต ทำกำไรสุทธิ 295.5 ล้านบาท รับกลุ่มธุรกิจเรือ FSU และขนส่งภายในประเทศสุดแกร่ง มั่นใจแนวโน้มครึ่งปีร้อนแรงต่อเนื่อง กรุงเทพฯ--14 พ.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย 'บมจ. พริมา มารีน’ หรือ (“PRM”) ผลงานร้อนแรงต่อเนื่อง โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 ทำกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักอัตราแลกเปลี่ยน (Core Profit) ที่ 372.4 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 295.5 ล้านบาท เติบโต 22.9% สูงสุดนับตั้งแต่ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จากศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศ และกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บปิโตรเลียมหรือ FSU ที่มีอัตราการใช้บริการยังอยู่ในระดับสูง สอดคล้องกับแผนการลงทุนและความต้องการในการใช้เรือฯ มั่นใจผลการดำเนินงานของปี 2563 ขยายตัวต่อเนื่อง พร้อมปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ COVID-19 นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) (“PRM”) ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีเหลวทางเรือรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2563 ว่าบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตทั้งในแง่ของรายได้และการทำกำไรที่ดีสอดรับกับการขยายการลงทุนของกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศ และกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บปิโตรเลียมกลางทะเลหรือ FSU ซึ่งเป็น 2 กลุ่มธุรกิจหลักที่เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทฯ มีผลกำไรก่อนหักอัตราแลกเปลี่ยนหรือ Core Profit ในไตรมาสนี้จำนวน 372.4 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 51.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 246.1 ล้านบาท และหากหักอัตราแลกเปลี่ยนแล้วบริษัทฯ ยังมีกำไรสุทธิสูงถึง 295.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่รายได้รวมทำได้ 1,505.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,188.7 ล้านบาท ปัจจัยการเติบโตดังกล่าว มาจากกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บปิโตรเลียมกลางทะเลหรือ FSU ที่มีรายได้เติบโตจากการลงทุนในปีที่ผ่านมา ประกอบกับความต้องการในการเก็บน้ำมันที่มีอยู่ในระดับสูงเนื่องจากการลดลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ สามารถปรับขึ้นราคาค่าบริการ ซึ่งจะส่งผลต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจ FSU ในปี 2563 ได้เป็นอย่างดี ขณะที่กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศ ที่ให้บริการแก่คู่ค้าน้ำมันรายใหญ่ของไทย มีอัตราการใช้เรือเฉลี่ยยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ปัจจัยจาก COVID-19 มีผลกระทบในช่วงปลายไตรมาส 1/63 แต่บริษัทฯ ก็มีแผนบริหารจัดการเพื่อรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กลุ่มธุรกิจดังกล่าวยังทำผลงานได้ดีเช่นกัน “เราพอใจกับผลการดำเนินของบริษัทฯ ในไตรมาสแรกที่เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บปิโตรเลียมกลางทะเล (FSU) และธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศเป็นหัวหอก คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 48% และ 40% ของรายได้รวมทั้งหมดตามลำดับ และอัตรากำไรขั้นต้นยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เป็นผลให้เราสามารถทำกำไรสุทธิได้สูงสุดนับตั้งแต่ PRM เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อปี 2560 ตอกย้ำความสำเร็จของ PRM ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมให้บริการเรือขนส่งและจัดเก็บปิโตรเลียมทางทะเลรายใหญ่ที่สุดของไทย” นายวิริทธิ์พล กล่าว ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าจะรักษาการเติบโตที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง จากกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งและกักเก็บปิโตรเลียมกลางทะเล (FSU) ที่ยังคงรักษาอัตราการใช้บริการเรือเต็ม 100% เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งภายในประเทศที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น หลังภาครัฐเริ่มคลายมาตรการล็อคดาวน์จากสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ