![ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ผสานพลังใจ สู้ภัยโควิด จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตเป็นการภายใน ได้ยอดบริจาคโลหิตเกินความคาดหมาย]()
กรุงเทพฯ--25 พ.ค.--ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย
นายประภาส ทองสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สื่อสารองค์กร
ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตเป็นการภายใน เชิญชวนพนักงานร่วมบริจาคโลหิต เติมโลหิตให้เต็มคลังในช่วงสถานการณ์วิกฤตของ
โรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้โลหิตขาดแคลนทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 63 โดยได้จัดมาตรการคัดกรองและมาตรการความปลอดภัยอย่างเข้มข้น 2 ขั้น ทั้งจากฝั่งธนาคารเองและจากเจ้าหน้าที่ของทางสภากาชาดไทย
สำหรับการบริจาคโลหิตรูปแบบใหม่ ธนาคารได้จำกัดจำนวนผู้บริจาคโลหิต โดยได้ลดจำนวนเตียงบริจาคโลหิตลง พร้อมเปิดให้ลงทะเบียนเลือกเวลาบริจาคโลหิตล่วงหน้า และแจกแบบฟอร์มล่วงหน้าเพื่อกรอกข้อมูลผู้บริจาคโลหิตเพื่อลดความแออัดของพื้นที่ ทำความสะอาดเตียงบริจาคโลหิตทุกครั้งด้วยแอลกอฮอล์เมื่อเปลี่ยนผู้บริจาคโลหิต การตรวจคัดกรองและบริการเจลแอลกอฮอล์สำหรับล้างมืออย่างทั่วถึงโดยผู้บริจาคโลหิตทุกคนที่มาต้องสวมหน้ากากอนามัยเพื่อลดการแพร่กระจายของ
โรคระบาด และรักษาระยะห่างระหว่างกัน นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สภากาชาดไทยทุกท่านที่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ต้องผ่านการตรวจคัดกรองจากทางธนาคารก่อนขึ้นตึก เพื่อสร้างความมั่นใจให้ทั้งสองฝ่าย
“ถึงมีวิกฤตก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะหยุดให้โลหิตช่วยเหลือผู้อื่น ธนาคารยังเดินหน้าจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตต่อเนื่อง โดยเพิ่มเติมมาตรการคัดกรอง การรักษาระยะห่าง การรักษาความสะอาด เพื่อความปลอดภัยขั้นสุดของทุกคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งเจ้าหน้าที่และผู้บริจาค ซึ่งผลออกมาน่ายินดี มียอดผู้เข้ามาบริจาคเกินความคาดหมาย ได้รับโลหิต 115 ยูนิต หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า 'ในสถานการณ์วิกฤตนี้ เรายิ่งต้องช่วยเหลือกัน’ ธนาคารจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตต่อเนื่องมานานหลายปี และยังคงตั้งมั่นจะทำต่อไป แม้จะเป็นจุดเล็ก ๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมของเราให้น่าอยู่” นายประภาส กล่าว
ทั้งนี้ สถานการณ์
โรคระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบ ทำให้ยอดการบริจาคโลหิตลงลดอย่างหนัก โดยทางสภากาชาดไทยให้ข้อมูลว่า การแจกจ่ายโลหิตไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการทั่วประเทศ ต้องได้รับการบริจาคโลหิตจำนวน 5,400 ยูนิต/วัน แต่ปัจจุบันได้รับบริจาคโลหิตเฉลี่ยต่อวันเพียง 2,900 ยูนิต เท่านั้น โดยต้องการยอดบริจาคโลหิตอีกประมาณ 50% เพื่อให้สามารถแจกจ่ายไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ ให้เพียงพอทั่วประเทศ
![]()
กรุงเทพฯ--25 พ.ค.--ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย
นายประภาส ทองสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สื่อสารองค์กร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตเป็นการภายใน เชิญชวนพนักงานร่วมบริจาคโลหิต เติมโลหิตให้เต็มคลังในช่วงสถานการณ์วิกฤตของโรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้โลหิตขาดแคลนทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 63 โดยได้จัดมาตรการคัดกรองและมาตรการความปลอดภัยอย่างเข้มข้น 2 ขั้น ทั้งจากฝั่งธนาคารเองและจากเจ้าหน้าที่ของทางสภากาชาดไทย
สำหรับการบริจาคโลหิตรูปแบบใหม่ ธนาคารได้จำกัดจำนวนผู้บริจาคโลหิต โดยได้ลดจำนวนเตียงบริจาคโลหิตลง พร้อมเปิดให้ลงทะเบียนเลือกเวลาบริจาคโลหิตล่วงหน้า และแจกแบบฟอร์มล่วงหน้าเพื่อกรอกข้อมูลผู้บริจาคโลหิตเพื่อลดความแออัดของพื้นที่ ทำความสะอาดเตียงบริจาคโลหิตทุกครั้งด้วยแอลกอฮอล์เมื่อเปลี่ยนผู้บริจาคโลหิต การตรวจคัดกรองและบริการเจลแอลกอฮอล์สำหรับล้างมืออย่างทั่วถึงโดยผู้บริจาคโลหิตทุกคนที่มาต้องสวมหน้ากากอนามัยเพื่อลดการแพร่กระจายของโรคระบาด และรักษาระยะห่างระหว่างกัน นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สภากาชาดไทยทุกท่านที่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ต้องผ่านการตรวจคัดกรองจากทางธนาคารก่อนขึ้นตึก เพื่อสร้างความมั่นใจให้ทั้งสองฝ่าย
“ถึงมีวิกฤตก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะหยุดให้โลหิตช่วยเหลือผู้อื่น ธนาคารยังเดินหน้าจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตต่อเนื่อง โดยเพิ่มเติมมาตรการคัดกรอง การรักษาระยะห่าง การรักษาความสะอาด เพื่อความปลอดภัยขั้นสุดของทุกคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งเจ้าหน้าที่และผู้บริจาค ซึ่งผลออกมาน่ายินดี มียอดผู้เข้ามาบริจาคเกินความคาดหมาย ได้รับโลหิต 115 ยูนิต หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า 'ในสถานการณ์วิกฤตนี้ เรายิ่งต้องช่วยเหลือกัน’ ธนาคารจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตต่อเนื่องมานานหลายปี และยังคงตั้งมั่นจะทำต่อไป แม้จะเป็นจุดเล็ก ๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมของเราให้น่าอยู่” นายประภาส กล่าว
ทั้งนี้ สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบ ทำให้ยอดการบริจาคโลหิตลงลดอย่างหนัก โดยทางสภากาชาดไทยให้ข้อมูลว่า การแจกจ่ายโลหิตไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการทั่วประเทศ ต้องได้รับการบริจาคโลหิตจำนวน 5,400 ยูนิต/วัน แต่ปัจจุบันได้รับบริจาคโลหิตเฉลี่ยต่อวันเพียง 2,900 ยูนิต เท่านั้น โดยต้องการยอดบริจาคโลหิตอีกประมาณ 50% เพื่อให้สามารถแจกจ่ายไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ ให้เพียงพอทั่วประเทศ