SGP ประกาศผลประกอบการปี 63 โชว์กำไร 2,061.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.62% พร้อมกับรายได้ 55,641.32 ล้านบาท ด้านบอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีหลังอีก 0.40 บาท/หุ้น ขึ้น XD วันที่ 29 เมษายน 2564 กำหนดจ่ายปันผลวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 ด้าน "ศุภชัย วีรบวรพงศ์" แม่ทัพใหญ่ เปิดแผนปี 64 ตั้งเป้ายอดขายโต 15% ที่ 3.75 ล้านตัน ชี้ทิศทางราคาก๊าซ LPG ในไตรมาสที่ 1/64 ยังคงขึ้นแรงต่อเนื่อง และยอดขาย LPG ของบริษัทในต่างประเทศเริ่มฟื้นตัว หนุนยอดขายโตตามแผน
นายศุภชัย วีรบวรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP เปิดเผยว่าผลประกอบการในงวดปี 2563 ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่ 2,061.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 701.93 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 51.62 % เทียบกับงวดปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่จำนวน 1,359.91 ล้านบาท
โดยมีรายได้รวม 55,641.32 ล้านบาท เป็นรายได้จากการขาย,ขนส่ง และบริการ 55,123.61 ล้านบาท รายได้อื่น 517.71 ล้านบาท
"บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นในปี 2563 จำนวน 3,760.76 ล้านบาท คิดเป็น 6.82% เทียบกับงวดเดียวกันของปี 2562 ที่มีกำไรขั้นต้น 3,250.72 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.85% โดยกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจำนวน 510.04 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15.69% เนื่องจากราคา LPG ในช่วงไตรมาส 3 และ4 ปี 2563 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยครี่งปีหลังราคาก๊าซปรับตัวขึ้นกว่า 115 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ส่งผลให้กำไรในปีที่ผ่านมา เติบโตเป็นที่น่าพอใจ" นายศุภชัย กล่าว
ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเสนอผู้ถือหุ้นจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท คิดเป็นเงิน 735.15 ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกของปี 2563 ซึ่งบริษัทได้จ่ายไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท คิดเป็นเงิน 183.78 ล้านบาท จะเป็นเงินปันผลจ่ายในปี 2563 ทั้งสิ้นในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นเงินรวม 918.93 ล้านบาท ทั้งนี้การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวขึ้นอยู่กับมติของผู้ถือหุ้นในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2564 ในวันที่ 22 เมษายน 2564 โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 29 เมษายน 2564 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 21 พฤษภาคม 2564
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้าปริมาณขายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่ 3.75 ล้านตัน จากปีที่ผ่านมาที่มีปริมาณขายอยู่ที่ 3.25 ล้านตัน หรือโตขึ้นราว 15% จากสถานการณ์โควิท-19 ที่มีแนวโน้มจะดีขึ้น ส่งผลให้ยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย โดยหากย้อนกลับไปก่อนจะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิท-19 บริษัทมียอดขายที่ระดับ 3.84 ล้านต้นในปี 2562