NRF สุดพีค กวาดรายได้ Q1/64 เติบโตก้าวกระโดดสวนกระแส 78.6% ชี้เทรนด์ธุรกิจ E-Commerce มาแรง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday May 18, 2021 14:16 —ThaiPR.net

NRF สุดพีค กวาดรายได้ Q1/64 เติบโตก้าวกระโดดสวนกระแส 78.6%  ชี้เทรนด์ธุรกิจ E-Commerce มาแรง

NRF สุดพีค กวาดรายได้ Q1/64 เติบโตก้าวกระโดดสวนกระแส 78.6% ชี้เทรนด์ธุรกิจ E-Commerce มาแรง ดันมูลค่าบริษัท BOOSTED เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ชู IRR 1,200% ลุยไม่ยั้งทุ่มงบเพิ่ม 5.42 ล้านเหรียญฯ เข้าลงทุนใน Wicked Food พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจชั้นนำของโลก

บมจ.เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์' หรือ NRF โชว์ผลงานไตรมาส 1/64 มีรายได้จากการดำเนินงาน 472 ล้านบาท เติบโตแรง 78.1% และกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 69 ล้านบาท เติบโต 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ลุยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อีกไม่ต่ำกว่า 60 SKUs ต่อปี พร้อมขยายสายการผลิตจำพวกเส้น ให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 60% พร้อมทุ่มงบลงทุน 5.42 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของ NRF ใน Wicked Food แบรนด์อาหารจากพืชชั้นนำในอังกฤษ และ Konscious Foods, Inc สตาร์ทอัพอาหารโปรตีนจากพืช รวมถึงธุรกิจ E-Commerce พร้อมปลื้มเทรนด์ธุรกิจ E-Commerce มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในทั่วโลก ดันมูลค่าบริษัท BOOSTED E-commerce, USA เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า จากเดิมที่ใช้เงินลงทุน 3 ล้านเหรียญสหรัฐ ตัดขายหุ้น 10% ทำกำไร 1.2 ล้านเหรียญ คาดส่งผลให้ปี 64 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ผู้ผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร อาหารมังสวิรัติที่ไม่มีส่วนผสมของไข่และนม อาหารโปรตีนจากพืช อาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมรับประทาน และเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ รวมถึงผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคที่ไม่ใช่อาหารในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม (V-shape) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงาน 472 ล้านบาท เติบโต 78.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการดำเนินงาน 265 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของรายได้อย่างมีนัยสำคัญ ที่เติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้ธุรกิจอาหารไทยและอาหารท้องถิ่น โดยเฉพาะรายได้จากผลิตภัณฑ์เส้นบุก ที่ได้รับผลตอบรับดีจากกลุ่มลูกค้ารับจ้างผลิตรายเดิม (OEM) ในทวีปอเมริกาเหนือ รวมถึงรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากบริษัท Boosted NRF Corporation ที่ได้ซื้อผลิตภัณฑ์ Prime Labs เข้ามาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ขณะที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติของบริษัทฯ ในไตรมาส 1/2564 ทำได้ 69 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 50% โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) อยู่ที่ 83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านอัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ (Net Profit Margin) ทำได้ 14.2% ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 16.8% สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งผลขาดทุนจากบริษัท Plant and Bean Ltd. เนื่องจากบริษัทดังกล่าวมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากความล่าช้าในการผลิตของโรงงานแห่งใหม่ เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในทวีปยุโรป อย่างไรก็ตาม คาดว่าโรงงานแห่งใหม่จะสามารถเดินเครื่องจักรผลิตสินค้าได้ในไตรมาส 2/2564 และหลังจากได้รับใบอนุญาต British Retail Consortium (BRC) ในไตรมาส 3/2564 คาดว่าจะเห็นยอดขาย Plant and Bean Ltd. เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NRF กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องและได้ขยายประเภทผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของบริษัทเอง หรือผลิตภัณฑ์สินค้าของลูกค้ารับจ้างผลิต (OEM) โดย NRF ตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ได้มากกว่า 60 SKUs ต่อปี โดยในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับ City Food ทั้งหมด 4 SKUs ซึ่งจะเริ่มจัดส่งในกรกฎาคมนี้ พร้อมเตรียมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อีกกว่า 20 SKUs สำหรับกลุ่มธุรกิจอาหารไทยและอาหารท้องถิ่น รวมถึงอาหารโปรตีนจากพืช คาดว่าจะเปิดตัวภายในไตรมาส 2/2564 เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากการขยายฐานลูกค้าและช่องทางการจัดจำหน่ายทั่วโลก

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการขยายและพัฒนากระบวนการผลิตในหลายส่วน ทั้งภายในโรงงานของบริษัทฯ ที่มีการขยายสายการผลิตของผลิตภัณฑ์จำพวกเส้น ส่งผลให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 60% นอกจากนี้ มีการขยายกำลังการผลิตของโรงงาน City Food โดย การพัฒนากระบวนการบรรจุร้อน (Hot Filling Process) เพื่อเพิ่มกำลังผลิตอีกกว่า 25% และได้มีการพัฒนาอุปกรณ์ภายในโรงงานต่าง ๆ ซึ่งทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 15% จากการที่ผลิตภัณฑ์อาหารจากพืชได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั่วโลก บริษัทฯ จึงได้รับประโยชน์จากความต้องการที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้ของกลุ่มธุรกิจอาหารจากพืชเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 112% เมื่อเทียบจากกับไตรมาส 1/63

ส่งผลให้ NRF ได้เดินหน้าขยายธุรกิจอาหารจากพืช (Plant-Based Food) อย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ Nove Foods นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการลงทุนเพิ่มเติมอีก 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 47.0 ล้านบาท ใน "Wicked Food" ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพ ดำเนินธุรกิจขายอาหารและสินค้าโปรตีนจากพืช (plant-based) อย่างครบวงจร ภายใต้แบรน์สินค้า Wicked Foods และ Wicked Kitchen ถือเป็นแบรนด์อาหารจากพืชชั้นนำที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศอังกฤษ โดยคาดว่ามีสัดส่วนการถือหุ้น 1.6% ของทุนจดทะเบียนและชำระแล้วของ Wicked คาดว่าธุรกรรมจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/64 และมีแผนจะขยายธุรกิจไปยังผู้จำหน่ายอาหารรายใหญ่อย่าง Kroger และ Sprouts ในประเทศสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมนี้ พร้อมแผนการขยายไปประเทศอื่นๆ ในอนาคต อย่างไรก็ตาม Wicked จะกลายมาเป็นส่วนสำคัญในการทำ Brand Strategy ซึ่งทางบริษัทฯ จะเข้าไปเป็นพันธมิตรในการผลิตสินค้าให้ Wicked อีกด้วย ซึ่งคาดว่าจะได้รับคำสั่งซื้อ (Order) ทันทีในช่วงไตรมาส 4/64

นอกจากนี้ ได้เตรียมขยายการลงทุนในบริษัท Konscious Foods, Inc ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจขายอาหารและสินค้าโปรตีนจากพืช (plant-based) โดยจะมุ่งเน้นสินค้าประเภทอาหารทะเล (plant-based seafood) เป็นการเพิ่มทางเลือกอื่นๆ ให้กับผู้บริโภค โดยจะเข้าลงทุนผ่านบริษัท โน้ฟ ฟูดส์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ NRF มูลค่าการลงทุนกว่า 1.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 31.3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนในการถือหุ้น 20.3% ของทุนจดทะเบียนและชำระแล้วของบริษัท Konscious ซึ่งเป็นบริษัท สตาร์ทอัพในรัฐ Delaware ประเทศสหรัฐ ถูกจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นในช่วงปลายปี 2563 และกำลังอยู่ในช่วงระดมทุนในรอบผู้ก่อตั้ง โดยบริษัทฯ มีความประสงค์จะเข้าร่วมระดมทุนในรอบดังกล่าว คาดว่าธุรกรรมจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/64

ล่าสุด NRF ได้บรรลุข้อตกลงในการเข้าลงทุนซื้อทรัพย์สินภายใต้แบรนด์ SOL Trading โดยลงทุนผ่าน Boosted NRF Corporation ซึ่งเป็นบริษัทย่อย มูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 2.92 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 91.5 ล้านบาท มีความประสงค์จะซื้อทรัพย์สินทางปัญญา เครื่องหมายการค้าองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ และสินทรัพย์ไม่มีตัวตนอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ ภายใต้แบรนด์ของกลุ่ม SOL Trading เช่น The Cocoa Trader, Power Caribbean Cacao, and Aspen Naturals ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ด้านอาหารเพื่อสุขภาพชั้นนำที่ขายอยู่บนแพลตฟอร์ม Amazon.com โดยผลิตภัณฑ์หลักของ SOL Trading เป็นผลิตภัณฑ์ในการประกอบอาหารและเบเกอรี่ ที่อยู่ในตลาดมาแล้วเกินกว่า 8 ปี และมียอดขายย้อนหลัง 12 เดือน มากกว่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือมากกว่า 62 ล้านบาท ปัจจุบันมีการจัดจำหน่ายสินค้าทั้งหมด 45 รายการเช่น ผงโกโก้ ผงเจลาติน และจัดจำหน่ายในประเทศสหรัฐ คาดว่าธุรกรรมจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/64

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NRF กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ NRF ประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อ Prime Labs ภายใต้บริษัท BOOSTED-NRF Corporation ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้เริ่มมีการรับรู้รายได้เข้ามาในไตรมาส 1/2564 ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นกว่า 30 ล้านบาท และถือว่าบริษัทฯ จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนครั้งนี้อย่างต่อเนื่อง โดยจะมีโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้จะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ Prime Labs ตลอดจนการขายผลิตภัณฑ์ Prime Labs บนช่องทาง E-commerce ของเอเชีย

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในธุรกิจ E-Commerce ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นตัวเร่งทำให้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะการทำระบบ E-Commerce มาใช้ในการขายสินค้า รวมทั้งเพื่อช่วยผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็วในทั่วโลก ทำให้มูลค่าของบริษัท BOOSTED E-commerce, USA เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า หรือเป็นการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ที่เติบโตกว่า 1,200% จากมูลค่าเดิมที่บริษัทฯ ได้ลงทุน 3 ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทฯ จึงได้ทำการขายหุ้น 10% รวมเป็นเงินทั้งหมด 1.5 ล้านเหรียญ และสามารถทำกำไรได้ 1.2 ล้านเหรียญ ในไตรมาส 2/2564

ทั้งนี้ การลงทุนในช่วงที่ผ่านๆมา ถือเป็นการต่อยอดกลยุทธ์ e-commerce ของ NRF และเป็นการต่อยอดธุรกิจเดิมไปสู่ Branded e-commerce บนAmazon.com ที่มีผลิตภัณฑ์อยู่ในกลุ่ม Ethnic Food, Plant-Based Food, Functional Product ซึ่งบริษัทฯ มีความสามารถในการแข่งขันอยู่แล้ว โดยผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ต้องมียอดขายที่ดีในระบบ E-Commerce ของ Amazon.com และยังทำให้บริษัทฯ มีโอกาสที่จะขายสินค้าที่ NRF เป็นผู้ผลิตอยู่แล้วได้อีกด้วย นอกจากนี้ ในอนาคตข้างหน้าคาดว่าจะมีดีลใหม่ๆ ที่จะตามมาอีกมากมาย ซึ่งจะส่งผลทำให้เห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในปี 2564

ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในปัจจุบันมีการฟื้นตัว หลังจากการทยอยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง และปัญหาการขาดแคลนเรือขนส่งที่จะคลี่คลาย รวมถึงคาดว่าจะมีผลกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการผลิตในโรงงานแห่งใหม่ของ Plant and Bean ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะช่วยหนุนการเติบโตให้บริษัทฯ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้รายได้ในปี 64 เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% อย่างแน่นอน


แท็ก e commerce   Commerce   ลุย   พีค  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ