จ๊อบส์ ดีบี รายงานสถานการณ์ตลาดแรงงานไทยครึ่งปีแรกท่ามกลางโควิดระลอก 4 พบความต้องการแรงงานโต 6.7% การแข่งขันที่ 80:1

ข่าวทั่วไป Thursday August 5, 2021 09:05 —ThaiPR.net

จ๊อบส์ ดีบี รายงานสถานการณ์ตลาดแรงงานไทยครึ่งปีแรกท่ามกลางโควิดระลอก 4 พบความต้องการแรงงานโต 6.7% การแข่งขันที่ 80:1
  • จ๊อบส์ ดีบี เผยข้อมูลอัตราการฟื้นตัวของภาคธุรกิจพิจารณาจำนวนความต้องการแรงงาน พบ "ธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์" คว้าตัวเลขสูงสุด ในขณะที่ "ธุรกิจการเดินทางและท่องเที่ยว" ยังคงได้รับผลกระทบสูงสุดตลอดกว่า 1 ปี

จ๊อบส์ ดีบี รายงานสถิติข้อมูลสถานการณ์การจ้างงานในช่วงครึ่งปีแรก พบว่า ข้อมูล อัตราการว่างงานไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 สูงสุดในประเทศไทยเมื่อเทียบกับ 5 ปีย้อนหลัง และสูงที่สุดตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด อยู่ที่ 1.96% จากการลดจำนวนแรงงานและฤดูกาลโยกย้ายประจำปี ในทางกลับกันความต้องการแรงงานในประเทศไทยทั้งจากบนแพลตฟอร์มหางาน และช่องทางสื่อกลางออนไลน์อื่น ๆ ในช่วงครึ่งปีแรก ของปี 2564 กลับฟื้นขึ้นมา 6.7% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 โดยมีอัตราการแข่งขันที่ 80 ใบสมัครต่อ 1 ประกาศงาน โดยกลุ่มสายงานที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดยังคงเป็น 1) สายงานขาย บริการลูกค้า และพัฒนาธุรกิจ คิดเป็น 15.3% 2) สายงานไอที คิดเป็น 14.8% 3) สายงานวิศวกรรม คิดเป็น 10.0% ตามลำดับ ในด้านมุมมองกลุ่มธุรกิจพบว่า ธุรกิจที่มีอัตราการฟื้นตัวสูงสุดพิจารณาจำนวนความต้องการแรงงาน ได้แก่ 1) กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 2) กลุ่มธุรกิจประกันภัย 3) กลุ่มธุรกิจการผลิต ในขณะที่ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ 1) กลุ่มธุรกิจการเดินทางและท่องเที่ยว คิดเป็น 51% 2) กลุ่มธุรกิจบริการเฉพาะกิจ คิดเป็น 22% 3) กลุ่มธุรกิจสินค้าอุตสาหกรรม คิดเป็น 21% อย่างไรก็ตาม จ๊อบส์ ดีบี มีกำหนดจัดมหกรรมหางานออนไลน์ ในช่วงเดือนกันยายน ที่กำลังจะมาถึง

นางสาวพรลัดดา เดชรัตน์วิบูลย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จ๊อบส์ ดีบี ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลสถานการณ์ตลาดแรงงานไทยหลังวิกฤตการณ์โควิดระลอกที่ 3 และ 4 ในช่วงครึ่งปีแรก ของปี 2564 พบว่า ไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 อัตราการว่างงานรายไตรมาสในประเทศไทยสูงสุดเมื่อเทียบกับ 5 ปีย้อนหลัง และสูงที่สุดตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด อยู่ที่ 1.96% ในขณะที่จำนวนความต้องการแรงงานในประเทศไทยทั้งจากบนแพลตฟอร์มหางาน และช่องทางสื่อกลางออนไลน์อื่น ๆ ในช่วงครึ่งปีแรก ของปี 2564 ฟื้นขึ้นมา 6.7% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 โดยจากข้อมูลจำนวนประกาศงานบน จ๊อบส์ ดีบี ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 พบว่า กลุ่มสายงานที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด ได้แก่ 1) สายงานขาย บริการลูกค้า และพัฒนาธุรกิจ คิดเป็น 15.3% 2) สายงานไอที คิดเป็น 14.8% 3) สายงานวิศวกรรม คิดเป็น 10.0% ในขณะที่กลุ่มสายงานที่มีจำนวนประกาศงานเติบโตขึ้นมากที่สุด ได้แก่ 1) สายงานการจัดซื้อ คิดเป็น +43.0% 2) สายงานขนส่ง คิดเป็น +37.4% 3) สายงานประกันภัย คิดเป็น +36.4%

ในด้านการฟื้นตัวของภาคธุรกิจโดยพิจารณาจำนวนความต้องการแรงงาน พบว่า ธุรกิจที่มีสัดส่วนจำนวนประกาศงานสูงสุด ได้แก่ 1) กลุ่มธุรกิจไอที คิดเป็น 9.6% 2) กลุ่มธุรกิจการผลิต คิดเป็น 6.2% 3) กลุ่มธุรกิจการค้าปลีก-ส่ง คิดเป็น 5.5% และธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด เมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังของปี 2563 ได้แก่ 1) กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็น +52.6% 2) กลุ่มธุรกิจประกันภัย คิดเป็น +48.0% 3) กลุ่มธุรกิจการผลิต คิดเป็น +41.7% นอกจากนี้ยังพบว่า อัตราการแข่งขันลดลงในเชิงจำนวนอยู่ที่ 80 ใบสมัครต่อ 1 ประกาศงาน และยอดจำนวนใบสมัครงานเพิ่มขึ้น 12%

นอกจากนี้ จ๊อบส์ ดีบี ยังได้ร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของโลกอย่าง บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (Boston Consulting Group) และ เดอะ เน็ตเวิร์ก (The Network) ได้ทำแบบสำรวจ "ถอดรหัสลับ จับทิศทางความต้องการคนทางานยุคใหม่" (Global Talent Survey) ซึ่งมีบทสรุปรายงานด้วยกัน 3 ฉบับ ได้แก่ "รายงานฉบับที่ 1 : Where - สถานที่ทำงานแบบไหนที่คนทำงานยุคใหม่ต้องการ และการทำงานแบบเวอร์ชวล" "รายงานฉบับที่ 2 : How - วิถีชีวิตเปลี่ยน พนักงานต้องการทำงานแบบไหน" และ "รายงานฉบับที่ 3 : What - เจาะลึกความต้องการ งานอะไรที่คนทำงานอยากทำมากที่สุด" โดยสำรวจความคิดเห็นคนทำงานกว่า 200,000 คน ใน 190 ประเทศ จาก 20 กลุ่มอาชีพ จัดทำขึ้นในช่วงปลายปี 2020 เพื่อศึกษาเทรนด์ของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนไปในหลังจากที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด-19

จากรายงานพบว่า หลังวิกฤตโควิด คนทำงานเปลี่ยนความคิดเรื่องวิถีในการเลือกสถานที่ทำงาน โดยคนทำงานสามารถปรับตัวกับการทำงานระยะไกลได้ดีขึ้น โดยกว่า 73% ของคนทำงานเลือกที่จะทำงานแบบผสมผสานระหว่างการทำงานที่ออฟฟิศสลับกับการทำงานระยะไกล และความต้องการในการเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศแบบเต็มเวลา ลดลงเหลือเพียงแค่ 7% นอกจากนี้ยังพบว่าปัจจัยหลักที่คนทำงานให้ความสำคัญมากที่สุดในการเข้าทำงานหลังวิกฤตโควิด-19 ได้แก่ 1) อัตราเงินเดือนและผลตอบแทน 2) ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนร่วมงาน 3) ความรู้สึกภาคภูมิใจกับงาน

ในส่วนของการเปิดรับต่อการเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่เพิ่มเติม พบว่า 71% ของคนไทยในช่วงอายุ 21 - 40 ปี มีความพร้อมในการพัฒนาทักษะเดิมและการสร้างทักษะสำหรับบทบาทงานใหม่ โดยสายงานที่ต้องการฝึกอบรมทักษะใหม่ อาทิ สายงานช่างและการผลิต สายงานสื่อและสารสนเทศ สายงานขาย ในด้านช่องทางการเรียนรู้ที่คนทำงานในประเทศไทยใช้ในการพัฒนาทักษะด้านอาชีพมากที่สุด ได้แก่ 1) การสอนงานขณะปฏิบัติงาน 2) การเรียนรู้ด้วยตัวเอง 3) สถาบันการศึกษาออนไลน์ ตามลำดับ

ยิ่งไปกว่านั้นจากวิกฤตโควิด-19 ยังได้ส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนดัชนีเชิงบวกในการทำงาน ได้แก่ 1) การใช้เครื่องมือดิจิทัล อยู่ในระดับ 0.80 คะแนน 2) ความร่วมมือภายในทีม อยู่ในระดับ 0.46 คะแนน 3) ความยืดหยุ่นในการทำงาน อยู่ในระดับ 0.44 คะแนน ซึ่งดีกว่าค่าคะแนนทั่วโลก รวมถึงยังพบว่าคนทำงานรุ่นใหม่จำนวน 53% จะไม่เลือกเข้าทำงานกับองค์กรที่ไม่มีค่านิยมด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมตามที่คาดหวัง และคนทำงานในภาพรวมจำนวน 63% จะไม่เลือกเข้าทำงานกับองค์กรที่ไม่สนับสนุนเรื่องความหลากหลายและความเท่าเทียมทางเพศและวัฒนธรรมความเชื่อ นางสาวพรลัดดา กล่าวทิ้งท้าย

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด จ๊อบส์ ดีบี ในฐานะแพลตฟอร์มหางานชั้นนำของเอเชีย กำหนดการจัดมหกรรมหางานออนไลน์ ในช่วงเดือนกันยายน ที่กำลังจะมาถึง ข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามได้ที่ จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) โทรศัพท์ 02-670-0700 หรือเข้าไปที่ http://bit.ly/JobsDBTH


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ