ไทยยูเนี่ยนชี้ยอดขายไตรมาส 3 เติบโตต่อเนื่อง ชูกลยุทธ์ธุรกิจที่เน้นความหลากหลาย หลังสถานการณ์โควิดของโลกเริ่มคลี่คลาย

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 8, 2021 16:40 —ThaiPR.net

ไทยยูเนี่ยนชี้ยอดขายไตรมาส 3 เติบโตต่อเนื่อง ชูกลยุทธ์ธุรกิจที่เน้นความหลากหลาย หลังสถานการณ์โควิดของโลกเริ่มคลี่คลาย

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการในไตรมาส 3 ประจำปี 2564 ยังคงแข็งแรงด้วยยอดขายและกลยุทธ์ธุรกิจที่เน้นความหลากหลาย สอดรับกับสถานการณ์โลกที่เริ่มคลี่คลาย และมีการดำเนินชีวิตปกติในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น ทั้งการกลับเข้าทำงานในสำนักงาน การรับประทานอาหารในร้านอาหารและกิจกรรมนอกบ้าน

ยอดขายในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนอยู่ที่ 35,539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรขั้นต้นเติบโตอยู่ที่ระดับ 1 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 6,391 ล้านบาท กำไรสุทธิแม้จะลดลง 5.8 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังคงทำผลงานได้อย่างเข้มแข็งอยู่ที่ 1,937 ล้านบาทสำหรับไตรมาส 3 นี้

สำหรับภูมิภาคยุโรปและอเมริกาเหนือซึ่งถือเป็นตลาดที่สำคัญของธุรกิจไทยยูเนี่ยน สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย มีการผ่อนปรนจากการล็อคดาวน์และข้อจำกัดต่างๆ ผู้บริโภคจึงจับจ่ายสินค้าผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องน้อยลง ส่งผลให้ธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องของไทยยูเนี่ยนมียอดขาย อยู่ที่ 14,954 ล้านบาท ลดลง 8 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกที่เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับการที่ร้านอาหารต่างๆ เริ่มกลับมาเปิดให้บริการมากขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกานั้น ทำให้ยอดขายของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นเติบโตขึ้นถึง 11 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 14,843 ล้านบาท ในขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้าเพิ่มมูลค่า รวมถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสินค้าอื่นๆ ยังคงมียอดขายที่แข็งแกร่ง เติบโต 11.4 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 5,742 ล้านบาทในไตรมาส 3 นี้

ผลประกอบการในไตรมาส 3 ปี 2564 นี้ มีผลงานที่ดีมากเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกัน ในปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยในปี 2562 นั้นไตรมาส 3 มียอดขายอยู่ที่ 31,838 ล้านบาท และกำไรขั้นต้น 5,077 ล้านบาท

สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2564 นั้น มียอดขายอยู่ที่ 102,547 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6 เปอร์เซ็นต์ และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 6,083 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27 เปอร์เซ็นต์

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ไทยยูเนี่ยนยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 โดยธุรกิจหลักของเราสามารถทำผลงานได้ดีสม่ำเสมอ ผู้บริโภคได้ให้ความเชื่อมั่นในสินค้าของเราที่เน้นสุขภาพและโภชนาการในช่วงเวลาที่ผู้คนทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และผมรู้สึกภูมิใจที่แม้สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายลง แบรนด์และสินค้าของเราก็ยังได้ความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง ไทยยูเนี่ยนยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่มีอัตราการทำกำไรที่สูงขึ้น และสอดคล้องไปกับเป้าหมายของบริษัทในการที่จะดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คนไปพร้อมกับการดูแลอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลให้อุดมสมบูรณ์ต่อไป"

ไทยยูเนี่ยนยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ธุรกิจที่เน้นความหลากหลาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนได้ประกาศเข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นมูลค่าประมาณ 3 พันล้านบาท ในบริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ อาร์บีเอฟ ซึ่งเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร ทั้งวัตถุแต่งรส สี และสารปรุงแต่งอาหารหลากหลายชนิด อาร์บีเอฟมีความเชี่ยวชาญในนวัตกรรมผลิตส่วนผสมในอาหารต่างๆ เช่น วัตถุแต่งกลิ่นธรรมชาติ หรือสารสกัดจากกัญชง จะช่วยเสริมทั้งในส่วนของสินค้าหลักและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของไทยยูเนี่ยน รวมไปถึงสินค้าโปรตีนทางเลือกและอาหารสัตว์เลี้ยง ในเดือนเดียวกันนี้ ไทยยูเนี่ยนยังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนคุณภาพสูง เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน และความร่วมมือนี้จะมีส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของไทยยูเนี่ยนในการใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิลและย่อยสลายได้ ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์สำหรับผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของบริษัท ภายในปี 2568

นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการยอมรับในด้านความสามารถในการแข่งขันและความแข็งแกร่งของธุรกิจ โดยการได้รับการจัดอันดับเครดิตจาก ทริส เรทติ้ง อยู่ที่ระดับ A+ ด้วยแนวโน้มเป็นบวก และได้รับการจัดอันดับเครดิตจาก Japan Credit Rating อยู่ที่ระดับ A- ซึ่งเป็นการจัดอันดับเครดิตองค์กร สำหรับตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ โดยแนวโน้มของเครดิตอยู่ในระดับคงที่ และอันดับเครติดองค์กร A- ที่บริษัทได้รับนั้นเป็นระดับเดียวกันกับที่ประเทศไทยได้รับ ในฐานะผู้นำธุรกิจอาหารทะเลระดับโลกที่มีธุรกิจกระจายตัวทั่วโลกและมีความมั่นคงทางรายได้

ไทยยูเนี่ยนยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยการเงิน Blue Finance หรือการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อมหาสมุทรและอุตสาหกรรมอาหารทะเลโดยรวม ในไตรมาส 3 นี้ ไทยยูเนี่ยนได้ออกหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนอายุ 7 ปีในประเทศไทยและมีจำนวนยอดจองซื้อมากกว่า 2.23 เท่า โดยเมื่อต้นปีไทยยูเนี่ยนได้ออกสินเชื่อส่งเสริมความยั่งยืนในประเทศไทยและญี่ปุ่น

"ไทยยูเนี่ยนยังคงดูแลการเงินของเราอย่างต่อเนื่องและตอบรับนวัตกรรมทางการเงิน ด้วยกลยุทธ์ Blue Finance เราได้ตั้งเป้าในการบริหารจัดการการเงินของบริษัทให้เชื่อมโยงกับความยั่งยืนได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2565" นายธีรพงศ์กล่าว

ในไตรมาสเดียวกันนี้ ไทยยูเนี่ยนได้ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัท สงขลาแคนนิ่ง จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทในเครือ เป็นบริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อรองรับการพัฒนาและขยายกิจการในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง

แม้สถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลงในไตรมาส 3 ไทยยูนี่ยนยังคงเดินหน้าดูแลชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนสิงหาคม 2564 บริษัทได้มอบอาหารมากกว่า 326,000 ชุดให้กับชุมชน ภายใต้โครงการไทยยูเนี่ยนแคร์ ผ่านหน่วยงานภาครัฐ องค์กรอิสระ โรงพยาบาลและมูลนิธิต่างๆ นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังได้ส่งมอบอาหารมากกว่า 3.3 ล้านชุดให้กับชุมชนต่างๆ ทั่วโลก และมอบอาหารแมวเบลล็อตต้า และอาหารสุนัขมาร์โว่ ไปแล้วกว่า 78,000 กระป๋อง และอาหารสุนัขชนิดเม็ดมากกว่า 4,000 กิโลกรัม ให้กับสถานที่พักพิงสัตว์ องค์กรสัตว์เลี้ยง และอาสาสมัครทั่วประเทศไทย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ