JCKคาดปีหน้าปิดการขายนิคมฯทีเอฟดีเฟส 2 จำนวน 500 ไร่ สร้างยอดขายไม่น้อยกว่า 4,500 ล้านบาท จ่อผุดเฟส 3 อีก 1,800 ไร่ กระทุ้งรัฐฯให้สิทธิลดหย่อนภาษีอสังฯราคาเกิน 5 ล้านบาทหนุนหมุนเวียนเศรษฐกิจ

ข่าวอสังหา Monday December 20, 2021 10:42 —ThaiPR.net

JCKคาดปีหน้าปิดการขายนิคมฯทีเอฟดีเฟส 2 จำนวน 500 ไร่ สร้างยอดขายไม่น้อยกว่า 4,500 ล้านบาท จ่อผุดเฟส 3 อีก 1,800 ไร่ กระทุ้งรัฐฯให้สิทธิลดหย่อนภาษีอสังฯราคาเกิน 5 ล้านบาทหนุนหมุนเวียนเศรษฐกิจ

JCK มั่นใจขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมภายในปี 64 นี้ จำนวน 60 ไร่ได้ตามเป้าหมาย และที่เหลืออีกราว 500 ไร่ คาดขายได้หมดภายในปี 65 มูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท เหตุหลังเปิดประเทศมีนักลงทุนต่างชาติตบเท้าแห่เยี่ยมชมโรงงาน เนื่องจากมีจุดเด่นทำเลทอง คมนาคมสะดวก ไม่ไกลกรุงเทพและมอเตอร์เวย์ หนุนผลประกอบการปี 65 เติบโตโดดเด่น จ่อขยายทีเอฟดี เฟส 3 อีก 1,800 ไร่

นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JCK เปิดเผยว่า ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในปี 2564 นี้ บริษัทฯคาดว่าจะสามารถขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี เฟส 2 จำนวน 60 ไร่ได้ตามเป้าหมาย และที่ดินที่เหลืออีกประมาณ 500 ไร่ คาดว่าจะสามารถขายได้หมดภายในปี 2565 ปิดโครงการทีเอฟดี เฟส 2 และจะสร้างยอดขายไม่น้อยกว่า 4,500 ล้านบาท

สาเหตุเนื่องจากภายหลังรัฐบาลเปิดประเทศ พบว่านักลงทุนต่างประเทศได้แสดงความสนใจติดต่อเข้ามาเยี่ยมชมพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี เฟส 2 เป็นจำนวนมาก เนื่องจากตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ไม่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ ทำให้การคมนาคมขนส่งเป็นไปด้วยความสะดวก ขณะที่ราคาขายต่อไร่ไม่สูง ประมาณ 9 ล้านบาทต่อไร่

"บริษัทฯมีความมั่นใจว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในปีหน้า หรือจะสามารถสร้างยอดขายไม่น้อยกว่า 4,500 ล้านบาท และเตรียมขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี เฟส 3 จำนวนที่ดินประมาณ 1,800 ไร่ ขณะเดียวกันบริษัทฯอยู่ระหว่างพัฒนาที่อยู่อาศัยในจังหวัดเชียงราย ทั้งโครงการบ้านเดี่ยว และทาวเฮาส์ คาดว่าจะสามารถเปิดขายได้ภายในไตรมาส แรกของปี 2565 จะสนับสนุนให้ผลประกอบกายของบริษัทฯในปี 2565 เติบโตโดดเด่น" นายอภิชัย กล่าว

บริษัทฯ ให้ความสนใจกับการพัฒนาก่อสร้างโครงการบ้านเดี่ยว ทาวเฮาส์ โดยชะลอการลงทุนคอนโดมิเนียม เนื่องจากเล็งเห็นว่าจำนวนคอนโดมิเนียมเหลือตกค้างในตลาดจำนวนมาก ไม่ต่ำกว่า 3 แสนยูนิต และส่วนใหญ่จะอยู่ใจกลางเมืองราคาเกิน 5 ล้านบาท และแทบไม่พบการเปิดตัวโครงการใหม่ ๆ เนื่องจากต้นทุนในการซื้อที่ดินพุ่งสูงตามราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อให้เกิดการระบายอสังหาริมทรัพย์เหลือตกค้างในตลาด ดังนั้นต้องการเสนอให้รัฐบาลพิจารณาออกมาตรการให้สิทธิลดค่าธรรมเนียมการโอนและภาษี ให้ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ราคาเกิน 5 ล้านบาทขึ้นไป จากเดิมให้สิทธิลดหย่อนกับบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทเท่านั้น นอกจากจะเป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ ให้มีกำลังในการพัฒนาโครงการใหม่ ก่อให้เกิดการจ้างงาน และการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ