ฟิทช์คงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัท ไทยประกันชีวิตที่ 'A-' แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 4, 2022 14:53 —ThaiPR.net

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล (Insurer Financial Strength Rating: IFS Rating) ของบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI ที่ 'A-' (หรืออยู่ในระดับ "แข็งแกร่ง") และคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National IFS Rating) ของ TLI ที่ 'AAA(tha)' โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต
การประกาศคงอันดับเครดิตของ TLI สะท้อนถึงโครงสร้างการดำเนินงานของบริษัทในธุรกิจประกันภัยที่ยังแข็งแรง (Favorable Company Profile) รวมทั้งผลประกอบการและระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่งของบริษัท อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งของโครงสร้างอันดับเครดิตของบริษัทได้ถูกลดทอนไปบ้างจากการปรับตัวสูงขึ้นของความเสี่ยงด้านสินทรัพย์และการลงทุน รวมทั้งความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง

ฟิทช์ประเมินโครงสร้างการดำเนินงานของ TLI อยู่ในระดับแข็งแรง (favorable) ซึ่งเป็นผลจากโครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่ง ('favorable' business profile) และการมีบรรษัทภิบาลดี (moderate/favorable) เมื่อเทียบกับบริษัทประกันชีวิตอื่นภายในประเทศไทย TLI มีเครือข่ายธุรกิจในประเทศที่มีขนาดใหญ่ แม้ว่าขนาดของธุรกิจของบริษัทจะอยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับบริษัทประกันชีวิตในภูมิภาค ทั้งนี้ TLI ยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับที่ 2 ในประเทศไทยในด้านเบี้ยประกันชีวิตรวม ณ สิ้น ปี 2564 นอกจากนี้บริษัทยังมีผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่มีความหลากหลายและช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่ง ผ่านเครือข่ายตัวแทนขายประกันชีวิตและธนาคารพาณิชย์ ดังนั้นฟิทช์จึงให้อันดับคะแนนเครดิตที่ 'a-' ในด้านโครงสร้างการดำเนินงานในธุรกิจประกันภัย (company profile credit factor score) แก่ TLI ตามหลักเกณฑ์การพิจารณาปัจจัยเครดิตของฟิทช์ (credit factor scoring guideline)

ระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่งของ TLI สะท้อนถึงการที่ฟิทช์เชื่อว่าบริษัทจะสามารถดำรงระดับเงินกองทุนดังกล่าวให้สอดคล้องกับอันดับเครดิตของบริษัท ณ ปัจจุบันได้ ทั้งนี้บริษัทมีระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงไว้ตามกฎหมาย (Risk-based capital ratio) ที่สูงกว่า 300% มาอย่างต่อเนื่อง และ ฟิทช์คาดว่า Risk-based capital ratio ณ สิ้นปี 2564 ไม่น่าจะมีเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญจากที่ 343% ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2564 ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 140% มาก ทั้งนี้จากการประเมินด้วย Fitch Prism Model (FBM) ของฟิทช์ จากข้อมูลการเงิน ณ สิ้นปี 2564 บริษัทมีฐานะเงินกองทุนอยู่ในระดับ 'แข็งแกร่งมาก' ('Very Strong')

ผลการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในระดับแข็งแกร่ง ถึงแม้สภาวะเศรษฐกิจจะมีความท้าทาย บริษัทมีอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย 3 ปีในช่วงปี 2562 - 2564 อยู่ที่ประมาณ 10% ซึ่งสูงกว่าระดับคาดการณ์ของฟิทช์สำหรับบริษัทประกันชีวิตที่มีอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากลที่ระดับ 'A' ทั้งนี้รายได้ของบริษัทได้รับแรงหนุนจากการขายผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ยที่ไม่สูงนัก และอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้นจากกลยุทธ์ทบทวนและปรับราคาเบี้ยประกัน รวมถึงนโยบายการประหยัดและลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2563

บริษัทมีอัตราส่วนสินทรัพย์เสี่ยงต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 212% ณ สิ้น ปี 2564 (สิ้นปี 2563: 189%) เนื่องจากสัดส่วนการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในตราสารหุ้นและตราสารหนี้ที่มีอันดับเครดิตสากลต่ำกว่าระดับลงทุน (investment grade) รวมถึงปริมาณการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลในระดับที่มีนัยสำคัญซึ่งได้ถูกนำไปคำนวณความเสี่ยงที่ 15% ตามหลักเกณฑ์การพิจารณาการจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ จึงส่งผลให้อัตราส่วนการลงทุนในตราสารดังกล่าวอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงกว่าระดับคาดการณ์ของฟิทช์สำหรับบริษัทประกันชีวิตที่มีอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากลที่ระดับ 'A' ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันอันดับเครดิตของบริษัท อย่างไรก็ตามสัดส่วนการลงทุนของบริษัทส่วนใหญ่เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องดีในมุมมองของฟิทช์ โดยมีตราสารหนี้และเงินฝากอยู่ที่ระดับ 80% ของพอร์ทการลงทุนทั้งหมดของบริษัท ณ สิ้นปี 2564

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบหรือส่งผลให้เกิดการปรับลดอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน):
อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล (IFS Rating) และอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National IFS Rating)

  • การปรับตัวลดลงของอัตราส่วนเงินกองทุนต่อเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมาย (RBC) มาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 280% และการปรับตัวแย่ลงของระดับเงินกองทุนของบริษัทซึ่งวัดจากแบบจำลอง Prism Model ของฟิทช์ลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า "ระดับแข็งแกร่ง" เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง
  • การปรับตัวลดลงของความสามารถในการทำกำไรซึ่งสะท้อนจากอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ต่ำกว่า 8% เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง

ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงบวกหรือส่งผลให้เกิดการปรับเพิ่มอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน):
อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล (IFS Rating)

  • การปรับตัวเพิ่มขึ้นของระดับเงินกองทุนของ TLI ซึ่งวัดจากแบบจำลอง Prism Model ของฟิทช์ ขึ้นมาอยู่ในระดับแข็งแกร่ง ('Strong') ได้อย่างต่อเนื่อง และ
  • หากบริษัทมีขนาดของธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นและมีการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมหลากหลายประเภทธุรกิจมากขึ้น ด้านการกระจายตัวเชิงภูมิศาสตร์ที่ดีขึ้น และช่องทางการขายที่มีความหลากหลาย

อัตราความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National IFS Rating)

  • อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศของ TLI ไม่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้อีก เนื่องจากอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศที่อยู่ในอันดับเครดิตที่สูงที่สุดแล้ว

การพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
ระดับคะแนนที่สูงที่สุดสำหรับความสัมพันธ์ของ ESG ต่ออันดับเครดิต (หากมีการเปิดเผย) แสดงว่าระดับคะแนนจะอยู่ที่ระดับ 3 ซึ่งหมายความว่าปัจจัยด้าน ESG จะไม่ส่งผลกระทบหรืออาจมีผลกระทบในระดับที่น้อยมากต่ออันดับเครดิตของธนาคาร ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยจากลักษณะของธุรกิจหรือจากการบริหารจัดการของธนาคารก็ตามสำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมหาได้จาก www.fitchratings.com/esg


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ