ฟิทช์คงอันดับเครดิตตราสารสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีการค้ำประกันของ Minor International ที่ 'BBB'

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday May 13, 2022 10:28 —ThaiPR.net

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศคงอันดับเครดิตระยะยาว (Long-term Rating) ของตราสารค้ำประกันประเภทกึ่งหนี้กึ่งทุนที่ไม่มีกำหนดอายุ ของ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ที่ 'BBB'

อันดับเครดิตของตราสารค้ำประกันดังกล่าวสะท้อนถึงการได้รับการค้ำประกันในลักษณะไม่มีเงื่อนไข และไม่สามารถยกเลิกได้จาก ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL (ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ 'BBB' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ผ่านสาขาที่สิงคโปร์และฮ่องกง

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

อันดับเครดิตเท่ากับอันดับเครดิตของผู้ค้ำประกัน - ตราสารดังกล่าวมีอันดับเครดิตเท่ากับอันดับเครดิตสากลของหุ้นกู้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิ (Senior Unsecured Rating) ของผู้ค้ำประกัน คือ BBL เพื่อสะท้อนถึงการได้รับการค้ำประกันในลักษณะไม่มีเงื่อนไข และไม่สามารถยกเลิกได้จาก BBL ผ่านสาขาที่ต่างประเทศ โดยภาระจากการค้ำประกันมีสถานะเท่าเทียมกันกับภาระผูกพันที่ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิของ BBL

วันครบกำหนดไถ่ถอนที่น่าจะเป็น - ฟิทช์มองว่า วันที่ผู้ออกตราสารสามารถเรียกคืนตราสารได้เป็นครั้งแรก (First Call Date) หรือ วันครบกำหนดอายุการค้ำประกัน (First Reset Date) เป็นวันครบกำหนดไถ่ถอนที่น่าจะเป็น (Effective Maturity Date) ของตราสารดังกล่าว การค้ำประกันเต็มจำนวนจะมีผลบังคับจนถึงวันที่มีการจ่ายภาระผูกพันค้างชำระทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับตราสารอย่างครบถ้วนถูกต้องเต็มจำนวน หรือจนถึง First Call Date (29 มิถุนายน 2566) สำหรับตราสารที่มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.1 ต่อปี/ First Reset Date (19 กรกฎาคม 2569) สำหรับตราสารที่มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.7 ต่อปี แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน โดยที่ผู้ถือตราสารต้องมีการปฏิบัติถูกต้องตามเงื่อนไขที่กำหนด

ความรับผิดชอบของผู้ค้ำประกัน - ในกรณีที่ MINT ไม่เรียกคืนตราสารในวันที่สามารถเรียกคืนได้ก่อนถึงวัน First Call date สำหรับตราสารที่มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.1 ต่อปี หรือ First Reset Date สำหรับตราสารที่มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.7 ต่อปี (Non-call Event) ผู้ค้ำประกันจำเป็นจะต้องซื้อคืนตราสารดังกล่าวทั้งหมด ในราคาที่ครอบคลุมทั้งเงินต้น, ดอกเบี้ยค้างจ่าย, ดอกเบี้ยตั้งพัก และดอกเบี้ยบนดอกเบี้ยตั้งพัก ทั้งนี้ นอกเหนือจากการบังคับซื้อคืนในกรณี Non-call Event ดังกล่าว หาก MINT เข้าสู่ภาวะล้มละลาย 30 วันก่อนที่จะถึง First Call Date สำหรับตราสารที่มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.1 ต่อปี หรือ First Reset Date สำหรับตราสารที่มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.7 ต่อปี BBL ก็มีภาระผูกพันที่จะต้องซื้อคืนตราสาร ในราคาที่คำนวณบนหลักการเดียวกันกับที่กล่าวมาข้างต้นเช่นกัน

จำนวนเงินที่ค้ำประกันสูงสุด - จำนวนเงินที่ค้ำประกันทั้งหมดโดย BBL ถูกจำกัดไว้ไม่เกินกว่าร้อยละ 110 ของเงินต้นของตราสารที่มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.1 ต่อปีและร้อยละ 115 ของเงินต้นของตราสารที่มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.7 ต่อปี ซึ่งน่าจะครอบคลุมเงินต้น ดอกเบี้ยค้างจ่าย, ดอกเบี้ยตั้งพัก และดอกเบี้ยบนดอกเบี้ยตั้งพัก ที่น่าจะเกิดขึ้นทั้งหมดของตราสารในช่วงเวลาที่มีการค้างชำระ

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
อันดับเครดิตของตราสารค้ำประกันดังกล่าวสะท้อนถึงการได้รับการค้ำประกันในลักษณะไม่มีเงื่อนไข และไม่สามารถยกเลิกได้จาก BBL

ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต
การเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของ BBL จะส่งผลเช่นเดียวกับอันดับเครดิตของตราสารค้ำประกันของ MINT เนื่องจากเป็นตราสารที่ถูกค้ำประกันเต็มจำนวนโดย BBL

สำหรับ BBL ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศในอนาคตที่ได้ประกาศไว้เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2564 ดังนี้

ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบหรือส่งผลให้เกิดการปรับลดอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน)

อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศ อันดับเครดิตภายในประเทศ
การปรับลดอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินและอันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลพร้อมกันจะส่งผลให้อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว และอันดับเครดิตภายในประเทศ ถูกปรับลดอันดับเช่นกัน อันดับเครดิตภายในประเทศของธนาคารจะได้รับการปรับลดอันดับเป็น 'AA(tha)' หากฟิทช์มองว่าโครงสร้างเครดิตของธนาคารปรับตัวอ่อนแอลงเมื่อเทียบกับธนาคารอื่นในประเทศไทยที่ได้รับการจัดอันดับ

อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน
อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคารอาจถูกปรับลดลงเป็น 'bbb-' หากธนาคารมีฐานะทางการเงินที่อ่อนแอลงมากกว่าที่ฟิทช์คาด ซึ่งอาจสะท้อนได้โดยการปรับลดคะแนนของปัจจัยต่างๆ ที่ใช้พิจารณาอันดับเครดิต รวมถึงคะแนนสำหรับสภาพแวดล้อมในการดำเนินงาน ซึ่งอาจเกิดจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ช้ากว่าคาด หรือตำแหน่งทางการตลาดของธนาคารอ่อนแอลงจนไม่สามารถมีผลการดำเนินงานที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในการดำเนินงาน และ/หรือ มีการยอมรับความเสี่ยงที่มากขึ้นโดยที่ไม่ได้มีปัจจัยบรรเทาความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยแรงกดดันดังกล่าวอาจบ่งชี้ได้จากการเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมที่สูงกว่า 6% เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง ประกอบกับธนาคารมีความสามารถในการรองรับความเสี่ยงที่ด้อยลง เช่น มีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของที่ต่ำกว่า 13 % และมีอัตราส่วนสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ต่ำกว่า 120% และไม่สามารถรักษาระดับอัตรากำไรจากการดำเนินงานต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ระดับสูงกว่า 1.5%

อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาล
อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลอาจถูกปรับลดอันดับหากฟิทช์เชื่อว่าความสามารถที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนแก่ธนาคารนั้นลดลง เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเกิดขึ้นหากอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของประเทศไทย (BBB+ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ถูกปรับลดอันดับ นอกจากนี้การปรับลดอันดับเครดิตยังอาจเกิดขึ้นได้หากฟิทช์เชื่อว่าโอกาสที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนแก่ BBL ลดลง เช่น จากการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของระดับความสำคัญของธนาคารที่มีต่อระบบ อย่างไรก็ตามฟิทช์เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยที่โอกาสที่ BBL จะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลจะปรับตัวลดลงในระยะปานกลาง

ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงบวกหรือส่งผลให้เกิดการปรับเพิ่มอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน)

อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศ อันดับเครดิตภายในประเทศ
อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศ และอันดับเครดิตภายในประเทศ ของ BBL อาจได้รับการปรับเพิ่มอันดับหากอันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลหรืออันดับความแข็งแกร่งทางการเงินได้รับการปรับเพิ่มอันดับ ทั้งนี้อันดับเครดิตภายในประเทศของ BBL ได้รวมการพิจารณาถึงโครงสร้างอันดับเครดิตของธนาคารเทียบกับธนาคารอื่นในประเทศที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตภายในประเทศด้วย

อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน
อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของ BBL อาจได้รับการปรับเพิ่มอันดับเป็น 'bbb+' หากอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญของธนาคารปรับตัวดีขึ้นมาสอดคล้องกับธนาคารอื่นที่อยู่ในสภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานที่คล้ายกัน ซึ่งอาจเกิดจากโครงสร้างทางธุรกิจที่ทำให้ผลการดำเนินงานปรับตัวดีกว่าภาคธนาคารอย่างต่อเนื่อง และอาจได้รับปัจจัยผลักดันจากสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานที่ดีและอาจแสดงให้เห็นโดยอัตราส่วนสำคัญทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น การรักษาอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมที่ระดับต่ำกว่า 3% และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ปรับตัวสูงกว่า 2.5% (ณ สิ้นงวด 9 เดือนปี 2564: 1.2%) โดยที่ยังคงความสามารถในการรองรับความเสี่ยง เช่น การมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของที่สูงกว่า 16%

อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาล
อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลอาจได้รับการปรับเพิ่มอันดับหากอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของประเทศไทยได้รับการปรับเพิ่ม ซึ่งอาจบ่งชี้ได้ว่ารัฐบาลมีความสามารถเพิ่มขึ้นในการสนับสนุนธนาคารที่มีความสำคัญต่อระบบการเงินในประเทศรวมถึง BBL อย่างไรก็ตามการพิจารณาอันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลต้องคำนึงถึงการที่โอกาสในการให้การสนับสนุนธนาคารว่าจะยังคงอยู่ในระดับเดิม ทั้งนี้หากอันดับเครดิตของประเทศไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลของ BBL ก็ไม่น่าที่จะเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

ข้อมูลบริษัท
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT จดทะเบียนในประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินธุรกิจพักผ่อนและสันทนาการรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในทวีปเอเชียแปซิฟิค MINT เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท NH Hotel Group S.A. หรือ NHH (อันดับเครดิต B-, แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ) โดยถือหุ้นร้อยละ 94 หลังจากที่เข้าซื้อกิจการในปี 2561 MINT เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ NHH เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาดริด ในประเทศสเปน

อันดับเครดิตที่เกี่ยวโยงกับอันดับเครดิตอื่น
อันดับเครดิตของตราสารสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีการค้ำประกันของ MINT เกี่ยวโยงกับอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของ BBL ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน การเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของ BBL จะส่งผลโดยตรงต่ออันดับเครดิตของตราสารค้ำประกันฯ ของ MINT นอกจากนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงมุมมองของฟิทช์ต่อสัญญาค้ำประกันอาจส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตของตราสารค้ำประกันฯ ของ MINT ได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ