4 องค์กรหลักจับมือเผยผลวิจัย "อนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย พ.ศ. 2576 จับสัญญาณอนาคตสุขภาพจิตสังคมไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า

ข่าวทั่วไป Thursday March 30, 2023 13:39 —ThaiPR.net

4 องค์กรหลักจับมือเผยผลวิจัย

กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และ ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษาฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ โดย บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (FutureTales Lab by MQDC) เผยผลการวิจัย "อนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย พ.ศ. 2576 (Futures of Mental Health in Thailand 2033)" เพื่อนำเสนอองค์ความรู้ด้านสุขภาพจิตและข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพจิตของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งลงนามความร่วมมือโครงการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือด้านนวัตกรรมและอนาคตศึกษาด้านสุขภาพจิต ของ 4 หน่วยงาน เพื่อร่วมนำองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมและการมองอนาคตมาช่วยส่งเสริมและพัฒนาการให้บริการด้านสุขภาพจิตของประเทศไทย

แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า จากสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สร้างความยากลำบากในการใช้ชีวิต ประกอบกับค่านิยมของสังคมไทยที่มีการตีตราผู้มีปัญหาด้านสุขภาพจิตอยู่มาก ความตระหนักเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพจิตยังคงมีอยู่น้อย ทำให้การสร้างเสริมสุขภาพจิตของผู้คนในสังคมไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร คนไทยจำนวนหนึ่งยังขาดความรอบรู้ด้านสุขภาพจิต ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และสังคมรอบข้าง นำไปสู่การละเลย เพิกเฉย และปฏิเสธการเข้ารับบริการสุขภาพจิต สถานการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับแนวโน้มปัญหาด้านสุขภาพจิตในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมต่าง ๆ ทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพจิตในสังคมที่หลากหลายไมว่าจะเป็นเรื่องของ ความเครียด การเกิดโรคซึมเศร้า ภาวะหมดไฟ และในบางกรณีนำมาซึ่งการสูญเสียจากการทำร้ายตนเอง ซึ่งผลจากการสำรวจจาก Mental Health Check In ในปี 2565 จากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลจำนวน 1,149,231 ราย พบว่า มีเสี่ยงซึมเศร้าร้อยละ 5.47 ภาวะหมดไฟ 4.59 และมีความเครียดสูงร้อยละ 4.37 ประเด็นเรื่องสุขภาพจิตเป็นความท้าทายที่ทุกคนและทุกภาคส่วน ต้องให้ความสำคัญ อีกทั้งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งหากขาดความเข้าใจถึงอนาคตของสุขภาพจิตสังคมไทยโดยละเอียด สังคมไทยอาจต้องเผชิญกับผลกระทบด้านสุขภาพจิตอย่างรุนแรงในอนาคต การศึกษาวิจัยด้านอนาคตศึกษาด้านสุขภาพจิตจึงมีความสำคัญมากที่จะทำให้การทำงาน การวางแผนงานร่วมกันของภาครัฐและภาคเอกชนเป็นไปได้อย่างถูกทิศทาง และนำไปสู่จัดลำดับความสำคัญของประเด็นสุขภาพจิตสังคมไทยความสุขของคนไทย และพัฒนาแผนการส่งเสริมและป้องกันด้านสุขภาพจิต ผ่านกลไกด้านนโยบายและกฎหมายในทุกภาคส่วนของรัฐและสาธารณสุขและทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของประชาชน เพื่อให้สังคมไทยพัฒนาไปยังภาพอนาคตด้านสุขภาพจิตที่พึงประสงค์ได้ การจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยโครงการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือด้านนวัตกรรมและอนาคตศึกษาด้านสุขภาพจิตในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นในการบูรณาการระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อยกระดับสุขภาพจิตของคนในสังคมไทย โดยกรมสุขภาพจิตยินดีที่จะร่วมค้นคว้า สนับสนุนการประชาสัมพันธ์ผลการศึกษาวิจัยอนาคตศึกษาด้านสุขภาพจิตผ่านช่องทางต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงนำเสนอผลการศึกษาวิจัยอนาคตศึกษาด้านสุขภาพจิตเพื่อนำไปใช้ประโยชน์เชิงนโยบายด้านสุขภาพจิตที่เหมาะสมกับฉากทัศน์ด้านสุขภาพจิตของอนาคต พัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพจิต ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งในระดับองค์กร ชุมชน และประชาสังคม รวมไปถึงเพื่อให้เกิดการดูแลจิตใจอย่างเท่าเทียม

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า NIA โดยสถาบันการมองอนาคตนวัตกรรม หรือ IFI ส่งเสริมและสนับสนุนการนำการมองอนาคตมาใช้ในการติดตามแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิต ซึ่งแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของคนในสังคมไทย มีรายงานว่าประชาชนไทยต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี แต่การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตยังไม่ครอบคลุมมากนัก อีกทั้งการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ของสังคมไทย พบว่าปัญหาสุขภาพจิตในผู้สูงอายุและปัญหาความขัดแย้งอันเกิดจากช่องว่างระหว่างวัยกลับยังไม่สามารถแก้ไขหรือป้องกันได้ ทั้งนี้การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นสื่อสันทนาการหรือเข้ามามีส่วนช่วยในระบบบริการทางด้านสุขภาพจิตนั้น สามารถช่วยยกระดับสุขภาวะของคนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันมีสตาร์ทอัพไทยที่นำเสนอบริการนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ทางด้านสุขภาพจิตหลากหลายรูปแบบ เช่น การจัดทำหลักสูตรสอนการฟังเชิงลึก (deep listening) ที่ผ่านการรับรองจากกรมสุขภาพจิตบนแพลตฟอร์มออนไลน์ในลักษณะ Software-as-a-Service (SaaS Platform) การทำแอปพลิเคชันที่นำเสนอกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพจิตรูปแบบต่างๆ ให้เป็นเรื่องสนุกและช่วยให้ผู้ใช้งานมีทักษะและพลังยืดหยุ่นด้านสุขภาพจิตมากขึ้น และแชทบอทที่ช่วยเก็บข้อมูลการทำกิจกรรมจากผู้ใช้งานไปวิเคราะห์ความเสี่ยงของอาการซึมเศร้า เป็นต้น โดยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมเหล่านี้จะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตลดระยะเวลาในการคัดกรองผู้รับบริการเบื้องต้น นำไปสู่การรักษาและการดูแลได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ข้อมูลชุด "อนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย พ.ศ.2576" ที่เป็นผลมาจากความร่วมมือของ 4 หน่วยงานพันธมิตร จะเป็นเครื่องมือในการสร้างความตระหนักรู้เรื่องสุขภาพจิต พร้อมทั้งส่งเสริมและพัฒนาการนำนวัตกรรมมาช่วยออกแบบอนาคตที่พึงประสงค์ต่อการดูแลสุขภาพจิตของคนไทยให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้เป็นอย่างดี

ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) กล่าวว่า ETDA โดยศูนย์คาดการณ์อนาคต Foresight Center by ETDA เราทำหน้าที่เสมือนถังความคิด (Think Tank) ในการติดตามสัญญาณ (Signal) และแนวโน้ม (Trend) ในอนาคตเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ นำไปสู่การหาปัจจัยขับเคลื่อน (Driver) สู่การจัดทำเป็นภาพฉายอนาคต (Scenario) ต่อยอดการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ซึ่งความร่วมมือในการศึกษา "อนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย พ.ศ. 2576" ภายใต้ความร่วมมือของ ETDA พร้อมด้วย 3 หน่วยงานครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญที่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้มาร่วมศึกษาจัดทำข้อมูล สู่การคาดการณ์อนาคตของสุขภาพจิตของคนไทย ว่ามีมิติไหนที่ต้องจับตาหรือให้ความสำคัญ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องของการพัฒนาเทคโนโลยีที่เข้ามาประยุกต์ใช้ในการยกระดับสุขภาพของคนไทยแบบองค์รวมอย่างไรให้มีความปลอดภัยน่าเชื่อถือ เพราะจากการศึกษาครั้งนี้ เราพบว่า ปัจจุบัน เทคโนโลยีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนในสังคมไทย (Technology in daily life) ซึ่งเราเริ่มเห็นสัญญาณของเทคโนโลยีกับสุขภาพจิตใน 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.ความพร้อมในการก้าวสู่สังคมดิจิทัล (Readiness for digital age) คนไทยส่วนใหญ่มีความพร้อมและใช้งาน Social Media เป็นอันดับต้นๆของโลก แต่ในแง่ของการรู้เท่าทันกลับพบว่า มีไม่มากนัก โดยสะท้อนจากสถิติของการถูกหลอกทางออนไลน์ ข่าวปลอม และการนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้องมีตัวเลขเพิ่มสูงต่อเนื่องทุกปี เป็นต้น จากข้อมูลข้างต้น นี่คือโจทย์สำคัญที่ประเทศ รวมถึง ETDA ที่จะเดินหน้าอย่างไร เพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีดิจิทัลไปพร้อมๆกับการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ควบคู่ไปกับการสร้าง Literacy สร้างภูมิคุ้มกันในโลกดิจิทัลให้กับคนไทย และจะป้องกันผลกระทบของปัญหาสุขภาพที่เป็นผลมาจากการใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นได้อย่างไร ซึ่งการศึกษาการคาดการณ์อนาคตสุขภาพจิตของคนไทย จะเป็นข้อมูลสำคัญ ที่นำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบาย หรือทิศทางการดูแลที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคต

ดร.การดี เลียวไพโรจน์ ผู้อำนวยการบริหาร ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษาฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ โดย บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (FutureTales Lab by MQDC) กล่าวว่า ปัจจุบันคนทั่วโลกเฉลี่ยมีโรคทางด้านสุขภาพจิตถึง 36% สูงกว่าโรคมะเร็ง (34%) ยิ่งไปกว่านั้นยังให้ความสำคัญกับปัญหาสุขภาพใจพอกับสุขภาพกายเฉลี่ยถึง 76% (ข้อมูลจาก IPSOS) และล่าสุดทาง UN ได้ออกมาประกาศให้ 80% ของประเทศในเครือข่ายทั่วโลกนำการดูแลสุขภาพจิตเป็นการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานภายในปี พ.ศ. 2573 (ข้อมูลจาก WEF) เมื่อมองดูประเทศไทย 80.6% ของคนเมือง มีปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มสูงขึ้น และมากกว่าผู้อาศัยในเขตชนบทเกือบครึ่ง (48.9%) ชี้ให้เห็นว่าการจะทำให้คนที่อาศัยในเมืองมีสุขภาวะที่ดี เราจะต้องเข้าใจและดูแลสุขภาพจิตให้เตรียมพร้อมกับหลากหลายเหตุการณ์ด้วย เช่น โรคระบาด หรือ ภาวะเศรษฐกิจไม่มั่นคง เป็นต้น โดยงานวิจัยครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำความสำคัญ ของการคาดการณ์อนาคต ที่ทางนักวิจัยได้รวมสัญญาณที่สำคัญ รวมไปถึงการวิเคราะห์ฉากทัศน์ อนาคตที่จะเกิดขึ้น ทำให้เข้าใจถึงสุขภาวะทางจิตใจของคนเมือง และสามารถนำข้อมูลไปใช้เพื่อกำหนดแนวทาง หรือนโยบายเกี่ยวกับสุขภาพจิตของคนไทยให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตต่อไป

สำหรับความร่วมมือกับทุกหน่วยงานมีเป้าหมายหลักเพื่อร่วมกันรับมือ ป้องกัน และส่งเสริมสุขภาวะทางจิตของคนไทยในอนาคต ซึ่งมุ่งเน้นนำเสนอประเด็นปัญหาสำคัญ สถานการณ์ปัจจุบัน สัญญาณการเปลี่ยนแปลง ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ ภาพอนาคต และข้อเสนอเชิงนโยบายสำหรับการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพจิตของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับการเผยแพร่องค์ความรู้ออกสู่สาธารณะ ทั้งในมิติสังคม เทคโนโลยี เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม กฎหมาย นโยบาย และค่านิยม รวมถึงการออกแบบอนาคตที่พึงประสงค์ต่อการดูแลสุขภาพจิตของประเทศไทยในอนาคตร่วมกัน ทั้งนี้ ภายในงานจะมีการสรุปเนื้อหางานวิจัย และเสวนาในหัวข้อ "FUTURES OF MENTAL HEALTH IN THAILAND 2023" เปิดเผยงานวิจัยด้านสุขภาพจิตและฉากทัศน์ในอนาคตเพื่อเปิดมุมมองใหม่ที่กว้างขึ้นและเกี่ยวข้องกับการดูแล รักษา ป้องกันด้านสุขภาพจิต รวมไปถึงการอัพเดทเทรนด์นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สามารถยกระดับอนาคตสุขภาพจิตของคนไทยได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ