เอ็มเอฟซี เปิดขายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์Multi-National Residence Fund (MNRF) ครั้งเดียวถึงวันที่ 8 พฤษภาคม 2551 นี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday April 22, 2008 15:43 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--22 เม.ย.--เจดับบลิวที พับบลิค รีเลชั่นส์
บลจ.เอ็มเอฟซี ดีเดย์เปิดขายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์Multi-National Residence Fund (MNRF) มูลค่า 1,075 ล้านบาท ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ชุมชนชาวต่างชาติของนิชดาธานี โดยซื้อบ้านเดี่ยวในโครงการ ปาล์มทรี เพลส (Palm Tree Place) และห้องชุดพักอาศัยดนิชาธานี ที่นิชดาธานีแจ้งวัฒนะ และบ้านเดี่ยวในโครงการนิชดาธานีจังหวัดชลบุรี ใกล้อีสเทิร์นซีบอร์ด (Eastern Seaboard) เปิดขายครั้งเดียวตั้งแต่วันที่ 21 เมษายนถึงวันที่ 8 พฤษภาคม 2551 หลังประสบความสำเร็จจากการบริหารกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เอ็มเอฟซี-นิชดาธานี หรือ MNIT สองปีกว่า จ่ายเงินปันผลไปแล้วถึง 10 ครั้ง รวมประมาณ 158 ล้านบาท
ดร.พิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทมีเป้าหมายที่จะออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 2-3 กองทุน เพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้กับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ โดยจะเปิดขายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์Multi-National Residence Fund (MNRF) ขึ้นระหว่างวันที่ 21 เมษายน-8 พฤษภาคม 2551 มูลค่าโครงการ 1,075 ล้านบาท ซึ่งกองทุนจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ (Freehold) ในที่ดินและอาคาร โดยซื้อบ้านเดี่ยวจำนวน 30 หลังในโครงการปาล์มทรี เพลส (Palm Tree Place) ห้องชุดพักอาศัยดนิชาธานี จำนวน 48 ห้อง ที่นิชดาธานีแจ้งวัฒนะ และบ้านเดี่ยวจำนวน 35 หลังในโครงการนิชดาธานีจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นชุมชนชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย โดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 4 ครั้ง ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของกำไรสุทธิของกองทุน
จุดเด่นของกองทุน MNRF คือกองทุนจะได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ จากการปล่อยเช่าบ้านเดี่ยวและห้องชุดพักอาศัยทั้งโครงการเป็นระยะเวลา 7 ปีให้กับบริษัทนิชดา และกองทุนจะได้รับผลตอบแทนเป็นค่าเช่ารายเดือนตามที่ตกลงไว้ โดยคาดว่าบ้านเดี่ยวที่นิชดาธานีแจ้งวัฒนะสามารถปล่อยเช่าได้ในอัตราค่าเช่าประมาณ 100,000-140,000 บาทต่อเดือน ห้องชุดพักอาศัยที่แจ้งวัฒนะมีอัตราค่าเช่าประมาณ 30,000-50,000 บาทต่อเดือน และบ้านเดี่ยวที่ชลบุรีมีอัตราค่าเช่าประมาณ 60,000-80,000บาทต่อเดือน ซึ่งกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ โดยกองทุนให้บริษัทนิชดาทำสัญญาเช่าโดยมีการวางหลักประกัน 9 เดือนของค่าเช่า และมีบทปรับเป็นเงินค่าเช่าจำนวน 24 เดือนหากผู้เช่าผิดสัญญา นอกจากนี้ การเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ในที่ดินและอาคาร (Freehold) กองทุนมีโอกาสที่จะได้รับมูลค่าเพิ่มในทรัพย์สิน โดยกองทุนมีสิทธิที่จะขายทรัพย์สินภายในกองทุนได้ตามเงื่อนไขที่ตกลงกับนิชดาเมื่อเห็นว่าเป็นประโยชน์กับผู้ลงทุนโดยไม่ถือเป็นการผิดสัญญาเช่ากับบริษัทนิชดา
จุดเด่นที่สำคัญอีกประการและเป็นสิ่งที่ทำให้โครงการนิชดาธานีแตกต่างจากโครงการอื่นๆ คือเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จในการสร้างชุมชนของชาวต่างชาติ (Multi-national Community) ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ซึ่งต้องการที่พักอาศัยที่มีคุณภาพชีวิตใกล้เคียงกับที่เคยอยู่อาศัยในประเทศบ้านเกิด และมีเพื่อนบ้านที่เป็นชาวต่างชาติที่มีวิถีชีวิตคล้ายคลึงกันโดยมีโรงเรียนนานาชาติ International School Bangkok (ISB) เป็นจุดดึงดูดสำคัญ นอกจากนี้โครงการนิชาดาธานียังมีการกระจายการลงทุนไปยังทำเลใหม่ เช่น ชลบุรี ซึ่งใกล้กับนิคมอุตสาหกรรมและสวนอุตสาหกรรมในเขต Eastern Seaboard เช่น อมตะนคร แหลมฉบัง บ่อวิน เป็นต้น นอกจากนี้ยังใกล้โรงเรียนนานาชาติ International School Eastern Seaboard (ISE) ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการดึงดูดผู้เช่าที่เป็นชาวต่าวชาติได้เหมือนกับโครงการที่แจ้งวัฒนะ
ดร.พิชิต กล่าวต่อไปว่า กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักของโครงการนิชดาธานี ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่ทำงานในเขตศูนย์กลางธุรกิจ (Central Business District-CBD) ชาวต่างชาติที่ทำงานในแถบนิคมอุตสาหกรรมในเขต Eastern Seaboard โดยปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกที่อยู่อาศัยของกลุ่มดังกล่าวคือทำเลที่ตั้งโครงการซึ่งใกล้โรงเรียนนานาชาติ ISE ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจอื่นๆคือ คุณภาพโครงการ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น villa supermarket ทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้สนามกอล์ฟ ฯลฯ ซึ่งจากแนวโน้มการขยายตัวของกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในเมืองไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเช่าที่มีคุณภาพสูงมีแนวโน้มเติบโตสูงตามไปด้วย นอกจากนี้ จากข้อมูลการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในอดีต โครงการนิชดาธานีที่แจ้งวัฒนะมีอัตราเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 3-6 ต่อปี (ข้อมูลจากบริษัท นิชดาธานี พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด) ในขณะที่ราคาที่ดินในกรุงเทพตั้งแต่ปีพ.ศ. 2533-2549 มีอัตราเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 2-3 ต่อปี (ข้อมูลจากบริษัท เอเจนซี่ฟอร์เรียลเอสเตทแอฟแฟร์) ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้การบริหารจัดการกองทุน MNRF สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ การลงทุนในกองทุน MNRF จึงเป็นโอกาสดีของนักลงทุนในการมีสิทธิ์เป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของอสังหาริมทรัพย์นิชดาธานี ชุมชนชาวต่างชาติมาตรฐานระดับสากล
ดร. พิชิตกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เอ็มเอฟซี-นิชดาธานี (MNIT) ซึ่งเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์กองแรกของบริษัท เริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2548 ได้จ่ายเงินปันผลไปแล้วถึง 10 ครั้ง รวมประมาณ 158 ล้านบาท
สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์MNRF สามารถลงทุนขั้นต่ำได้ตั้งแต่ 1,000 บาท เปิดขายครั้งเดียวโดยใช้ระบบ Small Lot Firstโดยสามารถติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)โทร. 0-2649-2000 กด 2 ติดต่อฝ่ายวางแผนการลงทุน หรือ กด 0 ติดต่อ Call Center หรือที่ www.mfcfund.com
ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ:
คุณสุทรรศิกา คูรัตน์, คุณสุวรรณา ชีวนันทชัย ศริญญา แสนมีมา /ตรึงฤทัย สันโดษ
บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เจดับบลิวที พับบลิค รีเลชั่นส์
โทร.0-2649-2230, 0-2649-2232 โทร. 0-2204-8552, 0-2204-8078 โทรสาร 0-2259- 9246

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ