MovieJuno เข้าฉายวันที่ 15 พฤษภาคมนี้

ข่าวบันเทิง Wednesday April 30, 2008 11:46 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--30 เม.ย.--สหมงคลฟิล์ม
“คอเมดี้ว่าด้วยการโตเป็นผู้ใหญ่...และเรื่องปวดหัวระหว่างทาง”
จะเกิดอะไรขึ้น? เมื่อสาวมัธยมสุดมั่นตั้งท้องแบบไม่ทันตั้งตัว
ภาพยนตร์จี๊ดใจที่กวาดมาแล้วกว่า 25 รางวัลทั่วโลก
เจ้าของรางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปีล่าสุด
ประเภท คอเมดี้
กำกับการแสดง เจสัน รีตแมน (Thank You for Smoking)
นำแสดง เอลเล็น เพจ (X-Men: The Last Stand, Hard Candy)
ไมเคิล ซีร่า (Superbad)
เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ (The Kingdom, Elektra, Pearl Harbor)
เจสัน เบตแมน (Smokin’ Aces, The Break-Up, Dodgeball: A True Underdog Story)
อัลลิสัน แจนนี่ย์ (Hairspray, The Hours, ทีวีซีรี่ย์ The West Wing)
เจ.เค. ซิมมอนส์ (Spiderman 1-3, Thank You for Smoking, The Ladykillers)
โอลิเวียร์ เธิร์ลบี (United 93, Snow Angels)
กำหนดฉาย 15 พฤษภาคม 2008
จัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์
Official Site http://www.foxsearchlight.com/juno/
เรื่องราว
“ทำแบบโบราณไหมล่ะ
หนูจะเอาเด็กใส่ตะกร้าแล้วลอยไปทางบ้านคุณ
เหมือนโมเสสในตะกร้าหญ้าแฝกไง” — จูโน่
ขอแนะนำให้รู้จัก จูโน่ แม็คกัฟฟ์ (เอลเลน เพจ) สาวมัธยมปากจัดที่เผชิญหน้ากับปัญหาด้วยความมาดมั่นและมุมมองสบายๆ เมื่อต้องออกเดินทางผจญภัยทางอารมณ์เป็นเวลา 9 เดือนสู่ความเป็นผู้ใหญ่ จูโน่ทั้งฉลาดและเป็นตัวของตัวเอง แต่ถึงบุคลิกจะดูแรง ลึกๆแล้วเธอก็เป็นเพียงเด็กสาวที่กำลังเรียนรู้ชีวิตเท่านั้น
ขณะที่เด็กสาวคนอื่นๆในโรงเรียนคุยอัพเดทกันเรื่อง My Space หรือไปช้อปปิ้งตามห้าง จูโน่กลับใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง และบ่ายอันน่าเบื่อวันหนึ่ง ก็ทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไป เมื่อเธอตัดสินใจมีเซ็กซ์กับเพื่อนชายหน้าตาซื่อใส พอลลี่ บลีกเกอร์ (ไมเคิล ซีร่า) และตั้งท้องอย่างไม่ตั้งใจ จูโน่ปรึกษาเรื่องนี้กับ ลีอาห์ (โอลิเวียร์ เธิร์ลบี) เพื่อนสนิท และวางแผนกันว่าจะยกเด็กในท้องให้คู่สามีภรรยาสุดเพอร์เฟ็กต์คู่หนึ่งในย่านชานเมืองเพนนีเซเวอร์ ซึ่งเป้าหมายที่จูโน่เล็งไว้คือ มาร์ค และ วาเนสซ่า ลอริ่ง (เจสัน เบตแมน และ เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์) คู่แต่งงานฐานะร่ำรวยที่อยากมีลูกมานาน โชคดีที่จูโน่ได้รับความช่วยเหลือจากพ่อและแม่เลี้ยง (เจ.เค. ซิมม่อนส์ และ อัลลิสัน แจนนี่ย์) หลังจากช็อคนิดหน่อยในตอนแรกที่รู้ว่าลูกสาวท้องกับหนุ่มหน่อมแน้มอย่างบลีกเกอร์ ทุกคนในครอบครัวก็รวมตัวกันช่วยจูโน่ แม็คผู้เป็นพ่อไปคุยกับมาร์คและวาเนสซ่าเพื่อดูว่าสามีภรรยาคู่นี้เป็นพวกต้มตุ๋นหรือเปล่า ส่วนเบรนผู้เป็นแม่เลี้ยงก็ให้กำลังใจเมื่อจูโน่ต้องเผชิญความผันผวนทางอารมณ์จากการตั้งท้องก่อนวัยอันควร แต่เมื่อใกล้วันคลอด ชีวิตคู่อันสมบูรณ์แบบของมาร์คกับวาเนสซ่าก็ส่อเค้าล่ม หลายฤดูกาลผ่านไป ท้องของจูโน่ก็ยิ่งโตขึ้น ภาวะทางจิตใจของเธอก็โตขึ้นด้วย จูโน่แก้ปัญหาด้วยปฏิภาณที่นำหน้าเด็กวัยเดียวกัน และกลายเป็นสาววัยทีนที่ทั้งฉลาดและเหนือความคาดหมาย
เด็กผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันแน่?
จูโน่คือตัวละครพิเศษที่เกิดขึ้นในจินตนาการของ ไดอาโบล โคดี้ นักเขียนนิยายที่ผันตัวมาเขียนบทหนัง และเป็นตัวละครเด็กสาวที่ไม่เหมือนในหนังข้ามพ้นวัย (Coming of Age) เรื่องใดที่ผ่านมา จูโน่เป็นคนเปิดเผย, ตลก, มีเสน่ห์ และมั่นใจในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเล่าขั้นตอนการเสียสาวให้เพื่อนฟังอย่างละเอียดหรือการบอกพ่อแม่ไปตรงๆว่าตัวเองท้อง ล้วนแสดงให้เห็นว่าจูโน่เป็นคนเปิดเผยอ้าซ่าขนาดไหน หลังจากถูกยุให้เขียนบทหนัง ไดอาโบลก็ทำการศึกษาหนังวัยรุ่นที่ผ่านมา และพบว่ายังมีที่ว่างสำหรับตัวละครเด็กผู้หญิงใจใหญ่อยู่ “ฉันนั่งอยู่ที่บ้านในมินเนโซต้าและคิดกับตัวเองว่าเรื่องราวแบบไหนนะที่ยังไม่เคยดู เพราะที่ดูมามันไม่ค่อยมีอะไรใหม่”
การสร้างตัวละครจูโน่ ทำให้ไดอาโบลได้ย้อนกลับไปหาตัวเองสมัยวัยรุ่น “มันเป็นธรรมชาติมากๆ” เธอพูดถึงการปะติดปะต่อเรื่องราวและการสร้างตัวละครแต่ละตัว “ฉันมองว่าจูโน่คือการถ่ายทอดตัวฉัน”
ความจริงไม่ใช่แค่ถ่ายทอดตัวเธอเท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดบทสนทนาและสถานการณ์ที่เธอพบเจอสมัยวัยรุ่นด้วย ตอนหนึ่งของหนังที่น่าสนใจมากคือบทพูดเกี่ยวกับเซ็กซ์ที่ตรงไปตรงมาและขำกลิ้งระหว่างจูโน่กับเพื่อน ซึ่งนั่นก็มาจากชีวิตจริงของไดอาโบลเอง “ฉันกับเพื่อนก็เหมือนจูโน่กับลีอาห์ เราพูดเรื่องเซ็กซ์กันตลอดเวลา มีอยู่ฉากนึงที่ลีอาห์เล่าว่าตอนมีเซ็กซ์กับแฟน เธอชอบอยู่ข้างบนมากกว่า เพราะถึงจุดสุดยอดง่ายกว่า ฉันคุยกับเพื่อนเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติตอนอายุ 16 บางคนอาจจะตกใจ แต่มันเป็นเรื่องจริง”
นอกจากเรื่องเซ็กซ์แล้ว ยังมีอะไรเกี่ยวกับจูโน่อีกมากมายนอกเหนือจากกิจกรรมที่ทำให้เธอท้อง ยิ่งได้สาวน้อยมากพรสวรรค์อย่าง เอลเลน เพจ มารับบทนี้แล้ว จูโน่จึงกลายเป็นเด็กวัยรุ่นที่ไม่ธรรมดาไปโดยปริยาย “จูโน่เป็นตัวละครวัยรุ่นที่เขียนไว้ดีมาก แบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ เธอเป็นคนจริงใจ เป็นตัวของตัวเอง และไม่ตามกระแส ซึ่งเป็นบทที่น่าสนใจมากสำหรับนักแสดง หน้าที่ของฉันคือเข้าถึงเธอให้ได้ และพยายามทำให้วิธีการพูด สิ่งที่เธอพูด และความสัมพันธ์ของเธอดูสมจริง ฉันพบว่าการจะทำแบบนั้นได้ เราต้องทุ่มเทและเชื่อใจเพื่อนร่วมงาน” เอลเลน เพจ กล่าว
กำเนิด “จูโน่”
Juno คงไม่มีโอกาสได้เกิดแน่ ถ้าไม่ได้ความทุ่มเทอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของทีมงาน เริ่มต้นจากผู้อำนวยการสร้าง เมสัน โนวิค ไปอ่านเจอบล็อคที่เขียนโดย ไดอาโบล โคดี้ ในอินเตอร์เน็ท และติดใจอารมณ์ขันของเธอ โดยยกย่องว่าเป็นสำนวนการเขียนแบบผู้หญิงที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น, ร่วมสมัย และเป็นธรรมชาติอย่างที่สุด “ในฐานะผู้อำนวยการสร้างผมได้อ่านบทหนังที่เหมือนจะตลกแต่ความจริงห่วยมาเยอะ” โนวิคอธิบาย “ผมติดตามอ่านบล็อคของโคดี้นาน 6 เดือน และมันทำให้ผมหัวเราะได้ทุกวัน เพราะฉะนั้นผมก็เลยจู่โจมโทรหาเธอบอกว่า ‘เฮ้ ผมเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังอยู่ในแอลเอนะ ผมอ่านบล็อคคุณแล้วขำกลิ้งทุกวัน ไม่คิดจะเขียนบทหนังบ้างเหรอ’ เธอตอบว่า ‘เคยเหมือนกัน แต่ไม่เคยทำสำเร็จซักที’”
แต่สิ่งที่เธอทำสำเร็จไปแล้วคือหนังสือชื่อ “Candy Girl: A year in the Life of an Unlikely Stripper” ทั้งคู่คุยกันเรื่องหนังสือเล่มนี้ แล้วโนวิคก็ส่งฉบับร่างไปให้ตัวแทนหนังสือแห่งหนึ่งในนิวยอร์กที่นำมันไปขายให้ Gotham Books “ตอนนั้นเราคุยกันว่าจะดัดแปลง Candy Girl ของไดอาโบลเป็นหนัง” โนวิคเล่า “ผมบอกว่าเธอต้องเขียนตัวอย่างบทหนังไปให้สตูดิโอดูก่อน และไม่กี่เดือนต่อมา เธอก็โทรมาบอกว่าบทตัวอย่างเสร็จแล้ว และส่ง “Juno” มาให้ ผมนั่งอ่านรวดเดียวจบและอึ้งไปเลย บทที่เราใช้ถ่ายทำคือบทที่เธอเขียนครั้งแรกนั่นแหละ แทบไม่ได้แก้อะไรเลย ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หัวใจของเรื่องและตัวละครปรากฎชัดเจนบนหน้ากระดาษอยู่แล้ว”
เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ ผู้รับบท วาเนสซ่า ลอริ่ง หญิงสาวที่อยากเป็นแม่ใจจะขาด ก็มีปฏิกิริยาเดียวกันตอนอ่านบทหนัง “เสียงของ ไดอาโบล โคดี้ ชัดเจนมากจนคุณหลุดเข้าไปในโลกของเธออย่างช่วยไม่ได้ ฉันหลงรักมันทันที” การ์เนอร์กล่าว “คล้ายๆที่ Napoleon Dynamite สร้างโลกและภาษาเฉพาะของตัวเองขึ้นมา และดึงคุณเข้าไปในนั้นแบบเต็มตัว ไดอาโบลก็สร้างโลกของเธอเองขึ้นมา แต่ไม่เพี้ยนแบบนั้น ออกแนวกินใจมากกว่า”
ไดอาโบล โคดี้ ปลื้มมากที่รีตแมนเลือกบทหนังของเธอไปสร้าง “ฉันไม่คิดฝันมาก่อน” เธอบอก “ฉันถึงได้ดีใจสุดๆตอนที่รู้ว่าเขาสนใจ เพราะหนังเรื่อง Thank You for Smoking แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นนักทำหนังที่มีพรสวรรค์และเป็นตัวของตัวเอง ฉันรู้แค่ว่าฉันเบาใจที่ยกเรื่องนี้ให้เขากำกับ ฉันไม่รู้หรอกว่าอะไรทำให้เขาสนใจบทหนังเรื่องนี้ แต่ยังไงฉันก็ดีใจ”
โนวิคพูดสรุปว่าหนังเรื่องนี้อบอวลไปด้วยอารมณ์และสถานการณ์ร่วมสมัยที่ตรงกับโลกปัจจุบัน “ไดอาโบลรู้ดีว่าวัยรุ่นพูดจายังไง และผู้ใหญ่พูดกับเด็กวัยรุ่นยังไง เธอสร้างตัวละครเฉพาะในโลกเฉพาะขึ้นมาโดยไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นของปลอม ผมว่าการเขียนของเธอนี่แหละที่ทำให้ Juno เป็นหนังวัยรุ่นที่ไม่ดูถูกวัยรุ่น”
คัดตัว “จูโน่”
การคัดตัวนักแสดงคือขั้นตอนที่สำคัญเสมอสำหรับการถ่ายทอดบทภาพยนตร์สู่จอใหญ่ ทีมงาน Juno เจอภารกิจสุดหินในการหานักแสดงหญิงที่สามารถรับบทสุดซับซ้อนอย่างจูโน่ได้อย่างเหมาะสม นักแสดงคนนี้ไม่เพียงต้องทำให้คนดูรู้จักตัวละครเท่านั้น แต่ยังต้องอ้าแขนต้อนรับตัวละครอย่างเต็มใจ ทั้งส่วนดีและส่วนเสียด้วย ซึ่งรีตแมนรู้ดีว่านักแสดงที่สามารถรับมือความท้าทายครั้งนี้ได้คือ เอลเลน เพจ สาวน้อยขวัญใจคอหนังอินดี้ที่เคยฝากการแสดงแรงๆไว้ใน Hard Candy และเธอก็ทำเหมือนมันง่ายเสียด้วย
“เมื่อคุณมีนักแสดงเก่งๆ คุณจะอยากให้สีหน้าของเขาเป็นตัวเล่าเรื่อง และเอลเลนสามารถเก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยในการแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมและแยบยลด้วยสีหน้าของเธอ สมมติว่าผมให้โจทย์ 120 ข้อในแต่ละฉาก เธอก็สามารถตีโจทย์ได้ครบถ้วนตามที่ผมต้องการแบบไร้ติ” รีตแมนกล่าว
“นักแสดงส่วนใหญ่เป็นนักลอกเลียนที่ดี หรือไม่ก็เป็นพวกเล่นจริงและทำการบ้านหนัก ถ้าไม่อย่างนั้นก็มีเสน่ห์อย่างเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว” รีตแมนกล่าวขณะเปรียบเทียบ เอลเลน เพจ กับ เมอรีล สตรีพ “สิ่งที่เอลเลนแตกต่างคือ เธอรู้ว่าจูโน่จะทำ จะพูด หรือจะรู้สึกยังไงในแต่ละสถานการณ์ และสามารถแสดงอารมณ์ได้เหมือนเปิดปิดสวิทช์ ซึ่งน่าทึ่งมาก”
นักแสดงร่วมอย่างเจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ ก็เห็นด้วยอย่างไม่มีข้อกังขา “เธอเป็นนักแสดงที่สวยและเก่งมากๆ ตอนที่เริ่มซ้อมกัน ฉันถึงกับคิดในใจว่า เด็กคนนี้เป็นใคร มาจากไหนกันเนี่ย แล้วเจสันไปเจอเธอได้ยังไง เธอทำให้คนอื่นทึ่งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ฉันเชื่อว่าซักวันเธอต้องเป็นนักแสดงคนสำคัญของวงการแน่”
อัลลิสัน แจนนี่ย์ ก็คิดไม่ต่างกัน “เอลเลนทำให้ฉันนึกถึง ออเดรย์ เฮปเบิร์น เธอมีความเป็นผู้หญิงบอบบางอยู่ แต่แสดงเป็นตัวละครที่แกร่งและเท่สุดๆ” แจนนี่ย์กล่าว “เธอไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ฉันชื่นชมและประทับใจในตัวเธอมาก อยากร่วมงานด้วยอีก เธอเป็นนักแสดงที่เก่งจริงๆ”
เจสัน เบตแมน บอกว่าทีมงานคิดถูกอย่างมากที่ให้ เอลเลน เพจ มารับบทนี้ “หนังจะรุ่งหรือร่วงขึ้นอยู่กับตัวจูโน่ว่าน่าสนใจแค่ไหน โชคดีที่พวกเขาให้ เอลเลน เพจ มารับบทนี้ คุณก็เลยได้นั่งดูเธอแสดงแบบสบายใจ และเธอเป็นเหมือนไกด์นำทางของเรา เอลเลนเป็นนักแสดงที่เหมือนไม่ได้แสดง เธอรักษาระดับการแสดงได้อย่างคงที่ พวกเราไม่ต้องกังวลเลย”
การที่เพจตกหลุมรักจูโน่อาจมีส่วนช่วยในการแสดงของเธอไม่น้อย “ฉันอยากแสดงเป็นจูโน่สุดๆ ฉันชอบเธอมาก” เพจกล่าวก่อนจะยืมศัพท์จูโน่มาใช้นิดหน่อยว่า “บทหนังเจ๋งเป้ง ฉันดีใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้” นอกจากนี้เธอยังรู้สึกเป็นปลื้มที่มีโอกาสแสดงบทดีๆตั้งแต่ Hard Candy ด้วย “ที่ผ่านมาฉันโชคดีมาก ได้แสดงบทหลากหลาย ปีนี้ก็ยังโชคดี มันเยี่ยมมาก โอกาสที่เข้ามามันเหลือเชื่อจริงๆ”
รู้จักครอบครัว “ลอริ่ง” กับชีวิตที่สมบูรณ์แบบ?
มองเผินๆ ครอบครัวลอริ่งที่จูโน่เลือกให้เป็นผู้โชคดีเลี้ยงดูลูกเธอนั้นเป็นคู่แต่งงานที่สมบูรณ์แบบ พวกเขามีรายได้ทั้งคู่ มีบ้านสวยอยู่ชานเมือง และมีหน้ามีตาในสังคม แต่ก็มีบางอย่างแทรกอยู่ที่ทำให้เรื่องราวของทั้งคู่น่าสนใจและซับซ้อนขึ้น ยกตัวอย่างเช่น วาเนสซ่า ลอริ่ง ตัวละครของ เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ เป็นผู้หญิงบริโภคนิยมยุคใหม่ที่มีอำนาจและอิสระในหน้าที่การงาน และวัดคุณค่าความสำเร็จด้วยสรรหาสิ่งของมาครอบครอง ไม่เว้นแม่แต่เด็ก การมีลูก
“ผมชอบที่ตัวละครท้าทายค่านิยมของสังคม และเป็นคนที่ใช้ตัวเองเป็นที่ตั้งเวลาตัดสินใจ ไม่ใช่บรรทัดฐานสังคม ซึ่งชีวิตจริงเป็นแบบนั้น” รีตแมนกล่าว “ความเท่าเทียมทางเพศทำให้วาเนสซ่าประสบความสำเร็จทางหน้าที่การงาน แต่สุดท้ายเธอก็อยากเป็นแม่เต็มตัว ผมคิดว่าผู้หญิงสมัยนี้หลายคนมีความรู้สึกขัดแย้งระหว่างความต้องการเป็นแม่คนกับการทุ่มเทให้อาชีพการงาน และผมชอบที่ความขัดแย้งนี้ยิ่งซับซ้อนขึ้นอีกเพราะการเมือง”
แม้ Juno จะเป็นภาพยนตร์สะท้อนชีวิตวัยรุ่นร่วมสมัย แต่ก็ยังให้นักแสดงมากพรสวรรค์ ประสบการณ์สูง วัย 30 กว่าๆอย่าง เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ และเจสัน เบตแมน มารับบทสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ต้องดิ้นรนในชีวิตแต่งงานอันซับซ้อน
บ้านหลังที่ผู้กำกับรีตแมนกับทีมงานเลือกให้เป็นบ้านของ มาร์ค กับ วาเนสซ่า ลอริ่ง นั้น ตั้งอยู่ในชุมชนสุดหรูชื่อ Glacial Valley Estates ย่านชานเมืองที่มีรั้วรอบขอบชิด และรีตแมนได้ถ่ายภาพที่นั่นในลักษณะขับรถผ่านทำให้บ้านทุกหลังมองดูเหมือนกันหมด
ในบ้านหรูหลังนี้ ถัดจากโถงรับแขกว้างขวางคือบันไดที่นำไปสู่ห้องนอนชั้นบน ห้องหนึ่งบนนั้นคือห้องพิเศษของมาร์คที่เขาใช้เล่นกีต้าร์เหมือนสมัยวัยรุ่นที่เคยตั้งวงกับเพื่อน
เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ พูดถึงวันแรกที่เธอกับ เจสัน เบตแมน ถ่ายทำกันในบ้านหลังนี้ว่า “มาร์คไม่โตเป็นผู้ใหญ่เพราะเขาไม่อยากโต เมื่อจูโน่เข้ามาชีวิต เธอก็ทำให้เขารู้ตัวว่าอยู่กับผู้หญิงที่เด็กกว่า คนที่เขาสามารถควบคุมและสร้างความประทับใจให้ได้ จูโน่ทำให้เขาอยากเป็นผู้ชายที่หญิงสาวนับถือ แต่วาเนสซ่าอยู่กับมาร์คตอนนี้ก็แค่เพราะอยากทำให้ชีวิตแต่งงานดี สุดทาย ฉันคิดว่าเขาก็ไม่ค่อยพร้อมที่จะโต ขณะที่เธอโตแล้ว”
การตัดสินใจหนึ่งที่ได้รับการคลี่คลายในหนังคืออนาคตความสัมพันธ์ของมาร์คและวาเนสซ่า โดยมีตัวแปรคือจูโน่ที่ก้าวเข้ามาในชีวิตชานเมืองอันแสนสุขของพวกเขา “ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็คงราบรื่นไปอีกระยะหนึ่ง ถ้าจูโน่ไม่เข้ามาทำมันพังหมด การที่จูโน่เข้ามาเป็นตัวเร่งการเลิกราของทั้งคู่ถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะพวกเขาไม่เหมาะสมกันเลย”
ครอบครัว “แม็คกัฟฟ์” — พ่อแม่ยุคใหม่
นักแสดงคนเดียวที่ปรากฎตัวทั้งใน Thank You for Smoking และ Juno คือ เจ.เค.ซิมม่อนส์ ครั้งนี้เขารับบทเป็น แม็ค พ่อของจูโน่ ที่แม้มองภายนอกจะดูเซอร์ๆ แต่ความจริงเป็นคนน่ารัก ซึ่งรีตแมนบอกว่าตรงกับตัวจริงของซิมม่อนส์
“ผู้กำกับทุกคนมีนักแสดงในดวงใจที่อยากให้มาแสดงในหนังทุกเรื่องของตัวเอง และซิมม่อนส์คือนักแสดงคนนั้นของผม” รีตแมนกล่าว “เราจูนกันติด เราพูดภาษาเดียวกัน เขาแจ้งเกิดจากบทชายที่พูดว่า ‘ท่านประธานาธิบดีครับ จรวดมิสไซล์อยู่บนฟ้า’ เขาเล่นบทโฉดๆมาเยอะ ก็เลยเวิร์คมากที่ให้เขามารับบทพ่อผู้น่ารักในเรื่องนี้ ชีวิตจริงเจ.เค.เป็นผู้ชายที่น่ารัก เป็นคนรักครอบครัว และน่าตื่นเต้นที่มีโอกาสได้แสดงด้านนั้นของเขาให้ทุกคนเห็น”
คนที่ได้ดูหนังทั้งสองเรื่องของรีตแมน จะรู้ว่าเขาให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูกมาก ใน Thank You for Smoking นิค เนเลอร์ กังวลอยู่ลึกๆว่าลูกจะมองเขาอย่างไร ส่วนใน Juno ตัวจูโน่รู้สึกสบายใจทุกครั้งเวลาอยู่กับพ่อ “พ่อกับผมสนิทกันมาก” รีตแมนเล่า “พ่อสอนบทเรียนชีวิตให้ผมหลายอย่าง ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณท่านมาก ผมพยายามดำเนินชีวิตตามพ่อ มันก็เลยช่วยไม่ได้ที่ความสัมพันธ์ของพ่อลูกจะมีส่วนสำคัญในหนังของผม”
อัลลิสัน แจนนี่ย์ ผู้รับบทภรรยาของซิมม่อนส์และแม่เลี้ยงของจูโน่ บอกว่าเธอเคยแสดงในภาพยนตร์ของพ่อของผู้กำกับรีตแมนถึง 2 เรื่อง ได้แก่ Six Day, Seven Nights และ Private Parts ซึ่งผู้กำกับรีตแมนพูดถึงแจนนี่ย์ว่า “ผมเป็นแฟนเธอมานาน ผมชอบเธอมากจาก American Beauty และ The West Wing เธอรับได้ทุกบทจริงๆ”
ฝ่ายแจนนี่ย์บอกว่า “ฉันดู Thank You for Smoking แล้วรู้สึกว่ามันเป็นหนังที่เยี่ยมมาก พอได้เจอเจสัน ฉันก็ชอบเขาทันที สำหรับฉัน มันสำคัญมากที่ต้องเข้ากับผู้กำกับให้ได้และมีความคิดเห็นตรงกัน เขาเป็นผู้กำกับที่ฉลาด เข้าถึงง่ายและสบายๆ ซึ่งฉันคิดว่ามันทำให้ผ่อนคลาย ฉันก็เลคิดว่า ‘โอเค ฉันทำงานกับคนๆนี้ได้’
มือเขียนบท ไดอาโบล โคดี้ มีหลายอย่างที่อยากพูดเกี่ยวกับตัวละครของแจนนี่ย์ ซึ่งเป็นแม่เลี้ยงที่ฉีกแนวจากหนังเรื่องอื่น “ฉันรักตัวละครของอัลลิสัน และมันค่อนข้างส่วนตัวนิดนึงที่มีเธอในหนัง คือฉันเองก็เป็นแม่เลี้ยง และจะรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่ดูหนังแล้วเห็นแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงไม่ถูกกัน บางทีก็ให้แม่เลี้ยงเป็นตัวร้าย ฉันไม่สบอารมณ์เลยเวลาดูหนังแบบนี้กับลูกเลี้ยงที่ฉันรักอย่างกับอะไร ฉันก็เลยบอกตัวเองว่าฉันจะเขียนบทแม่เลี้ยงดีๆซักคน เธอต้องมีความเป็นแม่ น่ารัก และเป็นคนที่เราจะเอาใจช่วย”
แจนนี่ย์ตั้งข้อสังเกตว่าใน Juno มีผู้หญิงทุกประเภท “ฉันแสดงเป็นแม่เลี้ยงยุคแรกๆ เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ แสดงเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ เป็นผู้หญิงที่อยากมีลูก อยากสร้างครอบครัวแบบดั้งเดิม ส่วนจูโน่ แน่นอนว่าเธอเป็นผู้หญิงที่โตในช่วงเวลาที่มีทุกอย่างพร้อม”
เมื่อพูดถึงตัวละครหญิงในหนัง โคดี้บอกว่า “ผู้หญิงมักถูกนิยามว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนไหว ระทมทุกข์ และเป็นผู้นำอารมณ์ความรู้สึกมาสู่โลก นั่นมันไร้สาระสิ้นดี ในความเป็นจริง ผู้หญิงฉลาด ผู้หญิงตลก กันทั้งนั้น และฉันต้องการแสดงให้เห็นว่าเด็กผู้หญิงเหล่านี้เป็นมนุษย์ที่ไม่ใช่วัยรุ่นแบบที่สื่อชอบตราหน้าว่าอารมรณ์รุนแรง นิสัยเสีย หรือไม่ก็หลงตัวเอง”
จูโน่, บลีกเกอร์, ลีอาห์ — เราจะเป็นเพื่อนรักกันตลอดไป
สำหรับบทเพื่อนรักของจูโน่ รีตแมนเลือกนักแสดงดาวรุ่งอย่าง ไมเคิล ซีร่า และ โอลิเวีย เธิร์ลบี มาแสดง ซึ่งบุคลิกประหลาดๆของเพื่อนยิ่งขับเน้นความเป็นตัวของตัวเองและไม่เหมือนใครของจูโน่ ซีร่ารับบทเป็น พอลลี่ บลีกเกอร์ พ่อผู้อ่อนโยนของลูกในท้องจูโน่ ส่วนเธิร์ลบีรับบท ลีอาห์ เพื่อนซี้ที่ฉลาดและสดใสของจูโน่ “เธอเป็นเจ้าของประโยคเด็ดหลายประโยคในหนัง” เธิรล์บีพูดถึงฉากที่ตัวละครของเธอแนะนำจูโน่เมื่อรู้ว่าเพื่อนตั้งท้อง “เธอเป็นคนสนุกมากและฉันดีใจที่ได้แสดงเป็นตัวละครที่เจ๋งและสนุกแบบนี้”
สำหรับซีร่า บทของเขาทำให้เขามีโอกาสแสดงเป็นนักเรียนมัธยมที่ชีวิตจริงไม่ได้เป็น “ผมเรียนมัธยมปลายอยู่ปีเดียวก็ออกมาเรียนทางอินเตอร์เน็ท” ซีร่าเล่า แต่การแสดงของเขาถ่ายทอดประสบการณ์งุ่มง่ามของรักในวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี “บลีกเกอร์คลั่งไคล้จูโน่มาก เพราะเธอทำให้เขารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น เขาอึ้งกับเรื่องทั้งหมด และรู้สึกสับสนและกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเมื่อจูโน่ท้อง แต่บลีกเกอร์ก็โล่งใจเมื่อจูโน่ตัดสินในยกเด็กให้คนอื่น สิ่งที่เขากังวัลที่สุดคือการรักษามิตรภาพเอาไว้ และหวังว่าสักวันจูโน่จะมาเป็นแฟนของเขา”
นักแสดงทั้งคู่ชื่นชมบทหนังที่ถ่ายทอดชีวิตวัยรุ่นได้อย่างตรงตามความเป็นจริง ซึ่งทำให้การแสดงดูสมจริงยิ่งขึ้น เธิร์ลบีบอกว่า “มันยากนะไอ้การแสดงเป็นวัยรุ่นงี่เง่าน่ะ” ส่วนซีร่าก็เห็นด้วย “จริงครับ ผมชอบกว่าเยอะที่บทหนังเขียนให้วัยรุ่นฉลาด ผมแค่คิดว่ามันตรงกับความเป็นจริงกว่าน่ะครับ”
งานสร้าง Juno
“หนังแบ่งออกเป็นหลายฤดู ทั้งฤดูใบไม้ผลิ, ฤดูหนาว, ฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งผมรู้สึกชอบมากตอนอ่านบทครั้งแรก เพราะมันสะท้อนการตั้งท้องสามช่วงของจูโน่” รีตแมนกล่าว
เมื่อถามถึงการใช้สีในหนัง ซึ่งที่เห็นได้ชัดคือ สีแดงก่ำและสีทองของเครื่องแบบโรงเรียน Dancing Elk สีใบไม้ในภาพมุมกว้างที่ไหวแกว่งเป็นจังหวะด้วยลมอุ่นของฤดูใบไม้ร่วง หรือความแปรปรวนของฤดูใบไม้ผลิ ผู้กำกับรีตแมนก็อธิบายว่าสีต่างๆนั้นสามารถบ่งชี้ตัวละครได้อย่างไร
การใช้สีในฉากแรกๆของ Juno “จูโน่ใส่เสื้อมีฮูทสีแดงเดินผ่านโลกหม่นๆสีเขียวและน้ำตาล” ถัดจากนั้นคือฉากฆ่าตัวตายของจูโน่ที่ทำให้รีตแมนไม่แน่ใจอย่างแรง “นั่นเป็นฉากหนึ่งในบทหนังที่ผมรู้สึกลังเล เพราะนี่มันหนังตลกนะ จะเอาฉากนี้ไว้ตอนต้นเรื่องเลยเหรอ ผมคิดอย่างนั้นในตอนแรก แต่พอถึงเวลาจริงๆผมก็รู้สึกว่าต้องทำมันด้วยความมั่นใจ เราแค่ต้องการต้นไม้และเชือกเหมาะๆ ถึงจะถ่ายทำได้ แต่ลึกๆแล้ว ผมก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี แต่ไอเดียจากเอลเลนเปลี่ยนทุกอย่าง เธอกัดเชือกและทันใดนั้นทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทาง วูบหนึ่งจูโน่คิดว่าชีวิตเธอจบสิ้นแล้ว แต่จากนั้นเธอก็กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ซึ่งนั่นมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจหลายครั้งของเธอ เธอแสดงเป็นเด็กผู้หญิงที่เหลืออดกับชีวิต แต่แล้วก็ทำให้คุณหัวเราะ”
สำหรับผู้ออกแบบงานสร้าง สตีฟ แซคแลด ที่เคยร่วมงานกับรีตแมนใน Thank You for Smoking บอกว่า Juno ทำให้เขามีโอกาสได้สร้างพื้นที่ส่วนตัวของวัยรุ่นอายุ 16 ปี สามคน, ห้องแปลกๆของจูโน่, พื้นที่ของพ่อแม่ที่มีอดีตร่วมกันมายาวนาน สังเกตได้จากรายละเอียดการตกแต่งบ้านทุกตารางนิ้ว และบ้านของวาเนสซ่าและมาร์ค ลอริ่ง ที่ผมออกแบบโดยรู้ว่าพวกเขาคงแต่งบ้านโดยอ่านหนังสือบ้านเป็นตั้งๆและพยายามเลียนแบบสิ่งที่อ่านมากที่สุดแน่ๆ”
ส่วนผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย โมนิค พรูดอม ก็คิดคล้ายๆกันเกี่ยวกับการแต่งตัวของ วาเนสซ่า และ มาร์ค ลอริ่ง โดยเฉพาะชุดที่พวกเขาใส่ในวันแรกที่จูโน่กับพ่อไปพบ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่คนดูจะได้เห็นพวกเขาด้วย “ชุดของวาเนสซ่าจะเรียบง่ายและมีรสนิยม แต่เนื้อผ้าต้องยกกระชับสัดส่วน เธอแต่งตัวแบบอนุรักษ์นิยม และประณีตในรายละเอียด ข้อมือและปกเสื้อสีขาว เจนนิเฟอร์มีท่าทางการพูดที่สวยงาม และน่าสนใจในการร่วมงานด้วย เพราะเธอใส่ความเจ้าระเบียบเข้าไปในบท โดยเฉพาะตอนต้นเรื่อง ดังนั้นเราก็เลยให้เบตแมนใส่เสว็ตเตอร์สีฟ้าที่ดูอนุรักษ์นิยมเหมือนกัน ซึ่งยิ่งตอกย้ำบุคลิกของวาเนสซ่า ว่าเป็นคนบอกให้เขาใส่ บอกให้เขาเป็น ในสิ่งที่ไม่อยากเป็น ซึ่งนี่คือความขัดแย้งของบ้านลอริ่ง ต่อมาคนดูจึงจะสังเกตว่าเสื้อผ้าของมาร์คจะคล้ายกับของจูโน่”
เมื่อกล้องพาคุณออกไปข้างนอก ที่โรงเรียน Dancing Elk คุณแทบจะสัมผัสได้ถึงอากาศเย็นสดชื่น และเมื่อจูโน่เดินเข้าในโรวอาหารและโถงโรงเรียน กล้องจะเคลื่อนตามหลังอย่างใกล้ชิด ทำให้เกิดความรู้สึกกลัวที่แคบ โดยเฉพาะเมื่อก้าวเข้าไปในช่วงตั้งท้องของเธอ
รีตแมนนำกิจกรรมในชีวิตจริงของวัยรุ่นไปใส่ใน Juno หลายอย่าง ตอนไปสำรวจสถานที่ที่โรงเรียนมัธยม ทีมงานสังเกตเห็นนักเรียนหลายคนจับกลุ่มกันอยู่ที่โถงทางเดิน นั่งคุยกันที่ชั้นวางถ้วยรางวัลระหว่างวิชาเรียน ภาพเหล่านี้ทำให้ผู้กำกับรีตแมนเกิดแรงบันดาลใจให้จูโน่กับลีอาห์เข้าไปนั่งคุยตรงนั้นบ้าง แทนที่จะเดินคุยเหมือนที่โคดี้เขียนไว้ในบทหนัง
เมื่อพูดถึงงานสร้างของจูโน่ คงข้ามเรื่องฉากเปิดเรื่องไปไม่ได้ ฉากนี้สร้างสรรค์โดยบริษัท Shadowplay เป็นการนำภาพวาดมือมารวมกันแล้วถ่ายด้วยกล้องภาพนิ่งความเร็วชัตเตอร์สูง จากนั้นก็นำมาปะติดปะต่อกันเป็นภาพเคลื่อนไหวด้วยเทคนิคสต็อปโมชั่น ซึ่งบริษัท Shadowplay นี้ก็เป็นผู้ทำฉากเปิดเรื่องอันน่าจดจำของ Thank You for Smoking ด้วย ซึ่งงานในครั้งนั้นได้รับแรงบันดาลใจจากซองบุหรี่โบราณ
การเดินทางของจูโน่
การเดินทางของ จูโน่ แม็คกัฟฟ์ ตีความได้หลายรูปแบบ จูโน่ผ่านอุปสรรคมากมายและต้องตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตหลายอย่าง ซึ่งทั้งหมดนี้คนดูจะเอาใจช่วยเธอเพราะเสน่ห์เหลือล้นและความร่าเริงกระฉับกระเฉงของเธอ ไม่ว่าพวกเขาจะมีทัศนคติอย่างไรต่อการตั้งท้องและครอบครัว สุดท้าย ความผูกพันกับครอบครัวและการตัดสินใจของเธอตลอดการเดินทางเพื่อค้นหาตัวตนครั้งนี้ ได้ทำให้จูโน่กลายเป็นตัวละครที่น่าจดจำตัวหนึ่ง
มือเขียนบท ไดอาโบล โคดี้ กล่าวว่า Juno ควรกระตุ้นประเด็นการตั้งท้องของวัยรุ่นในหนัง “มันเป็นประเด็นร้อน คุณอาจมองหนังเรื่องนี้เป็นหนังสนับสนุนการใช้ชีวิตและการมีลูก หรือคุณอาจมองว่ามันเป็นหนังเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงอิสระคนหนึ่งที่ตัดสินใจบางอย่างเพื่อจะได้เป็นอิสระต่อไป หรือจะมองว่ามันเป็นหนังรักหักมุม หรือการโตเป็นผู้ใหญ่ก็ได้” โคดี้กล่าว และบอกว่าเรื่องราวและการพัฒนาตัวละครใน Juno ไม่ได้พูดถึงแค่การตั้งท้องของวัยรุ่นเท่านั้น แต่ยัง “ตั้งคำถามเกี่ยวกับความรัก, อิสรภาพ, ชีวิตคู่ และจุดมุ่งหมายในชีวิตของเรา” ด้วย
แม้หนังจะตั้งคำถามเหล่านั้นกับผู้ชมบางคน แต่อัลลิสัน แจนนี่ย์ บอกว่ามันไม่ได้พยายามยัดเยียดข้อความอะไรให้คนดูเลย “หนังไม่ได้พยายามจะลึกซึ้งอะไร มันแค่เล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง และบอกว่าเธอตัดสินใจยังไงกับชีวิต โดยไม่ได้พยายามจะสื่ออะไรมากมาย ซึ่งตรงนี้ฉันชอบ”
จะสื่อหรือไม่สื่ออะไรยังไง แต่การเดินทางของจูโน่ก็น่าติดตามสำหรับนักแสดงนำอย่าง เอลเลน เพจ “เธอมีความคิดอยู่ในใจว่าการเป็นผู้ใหญ่เป็นยังไงและต้องการเป็นแบบนั้นเหมือนวัยรุ่นทุกคนนั่นแหละ คุณจะติดอยู่ระหว่างโลกสองโลก และเธอก็ก้าวออกมาได้อย่างปลอดภัย”

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ