"กรดไหลย้อน" โรคยอดฮิตที่เกิดได้ทุกวัย

ข่าวทั่วไป Monday October 16, 2023 11:04 —ThaiPR.net

"กรดไหลย้อน" เป็นภาวะระบบทางเดินอาหารที่พบได้บ่อย และเป็นโรคใกล้ตัวที่ไม่ว่าจะวัยไหน ๆ ก็สามารถเป็นได้ โดยทั่วไปคนส่วนใหญ่มักสับสนระหว่างกรดไหลย้อนและอาการจุกเสียดแน่นท้อง ดังนั้นเพื่อเข้าใจความแตกต่าง เรามาทำความเข้าใจถึงสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง อาการของโรค และการป้องกันดูแลตนเองอย่างถูกต้อง

โรคกรดไหลย้อน คืออะไร ?

"โรคกรดไหลย้อน" สามารถพบได้ทุกวัย เกิดจากภาวะที่น้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองจากกรดและเกิดการอักเสบของหลอดอาหาร โดยทั่วไปมักมีอาการแสบร้อนกลางอก เรอเปรี้ยว และคลื่นไส้ หรือจุกเสียดบริเวณใต้ลิ้นปี่ นอกจากนี้ยังมีอาการที่อาจเกิดจากโรคกรดไหลย้อนได้ เช่น อาการไอ กล่องเสียอักสบ หอบหืด คออักเสบ ไซนัสอักเสบ โดยโรคกรดไหลย้อนอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเซลล์ของเยื่อบุหลอดอาหารได้ซึ่งบางรายอาจรุนแรงจนถึงขั้นเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้

ปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงต่อโรคกรดไหลย้อน

  • ภาวะน้ำหนักเกิน
  • พฤติกรรมกินแล้วนอนทันที
  • ทานอาหารรสจัด
  • รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
  • ภาวะกระเพาะอาหารบีบตัวช้า
  • เชื้อแบคทีเรีย
  • ภาวะความเครียด
  • การสูบบุหรี่ และการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชา กาแฟ น้ำอัดลม เป็นต้น

อาการโรคกรดไหลย้อน 

  • รู้สึกเปรี้ยวหรือขมในปากและคอ
  • แสบร้อนบริเวณกลางอก จุกเสียดแน่นท้องบริเวณลิ้นปี่
  • มีอาการไอเรื้อรัง เสียงแหบไซนัสอักเสบ
  • มีอาการทางระบบหายใจ เช่น หอบหืด เจ็บหน้าอก
  • หลังอาหารมื้อหลักมักจะคลื่นไส้อาเจียน

การป้องกันโรคกรดไหลย้อน

  • ควบคุมน้ำหนัก
  • ไม่ควรรับประทานอาหารแล้วนอนทันทีหรือออกกำลังกายหลังอิ่มทันที
  • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด รวมถึงอาหารที่มีไขมันสูง
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ น้ำอัดลม เป็นต้น
  • ไม่นอนทันทีหลังรับประทานเสร็จ ควรเว้นระยะเวลาอย่างน้อย  3  ชั่วโมง
  • ออกกำลังกายนั่งสมาธิเพื่อลดความเครียด
  • ไม่สวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นเกินไป

อย่างไรก็ตาม โรคกรดไหลย้อนนั้นเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการดำเนินชีวิตประจำวันเป็นแนวทางการรักษาที่ช่วยให้อาการลดลง และป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ แม้ว่าโรคกรดไหลย้อนส่วนใหญ่มักไม่มีอาการรุนแรง แต่ไม่ควรละเลย หากพบว่ามีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจรับการรักษา หากปล่อยไว้นานจนเรื้อรัง อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ความรุนแรงของโรคมากยิ่งขึ้น   

บทความโดย: นพ.วชิรพงศ์ เอกไพบูลย์ แพทย์เฉพาะทางอายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล ( WMC )


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ