รัฐปรับราคาน้ำมันดีเซล 3 บาท/ลิตร

ข่าวทั่วไป Tuesday March 22, 2005 15:27 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--22 มี.ค.--สนพ.
นายวิเศษ จูภิบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ผ่านมารัฐได้ใช้นโยบายตรึงราคาน้ำมันดีเซลมาตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 ซึ่งส่งผลดีทำให้ความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ (GDP) เติบโตอย่างต่อเนื่อง เงินเฟ้อไม่เพิ่มขึ้น ราคาสินค้า/บริการมีเสถียรภาพ โดยในปี 2547 ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และดีเซลหมุนเร็วตลาดสิงคโปร์อยู่ที่ระดับ 45 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถรองรับได้และมีภาระการชดเชยเพียง 3 บาทต่อลิตรเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้ ราคาน้ำมันดิบดูไบได้เพิ่มสูงขึ้นจาก 38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 48 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดีเซลหมุนเร็วตลาดสิงคโปร์เพิ่มขึ้นจาก 45 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 66 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และทำให้ กองทุนฯ มีอัตราการชดเชยเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 6 บาทต่อลิตร หรือสูงขึ้น 2 เท่าตัว จึงจำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างราคาดีเซล โดยเพิ่มราคาขายปลีกขึ้นอีก 3 บาทต่อลิตร เพื่อไม่ให้เกิดความแตกต่างระหว่างราคาตลาดโลกกับราคาตลาดในประเทศไทยมากเกินไป โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2548 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ การเพิ่มราคาดังกล่าวมีผลกระทบต่อความเติบโตทางเศรษฐกิจหรือต่อ GDP เพียงประมาณ 0.5 - 0.7% อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นประมาณ 0.5-0.9% เท่านั้น โดยการปรับโครงสร้างใหม่นี้ จะทำให้กองทุนฯ สามารถตรึงราคาน้ำมันให้กับประชาชนต่อไปได้ โดยกองทุนฯ ยังคงชดเชยราคาน้ำมันดีเซลอยู่อีกประมาณ 3 บาทต่อลิตร แต่ช่วยลดภาระการชดเชยให้กับ กองทุนฯ ลงได้ประมาณ 4,800 ล้านบาทต่อเดือน
สำหรับรัฐได้มีการเตรียมการดูแลคุ้มครองผู้บริโภคอย่างเข้มงวด โดยมีการมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วย กระทรวงพาณิชย์ ดูแลในเรื่องของราคาสินค้า กระทรวงคมนาคม ด้านค่าขนส่งและค่าโดยสาร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดูแลการประมงชายฝั่ง (ยกเว้นกลุ่มผู้เลี้ยงกุ้ง) และสำนักงานคณะกรรมการการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เป็นผู้ดูแลด้านผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวม โดยมีกระทรวงพลังงานเป็น ผู้ประสานงานการดำเนินงานร่วมกับกระทรวงต่างๆ
นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานจะเร่งดำเนินมาตรการประหยัดพลังงานที่สำคัญ ในภาคขนส่ง ได้แก่ การส่งเสริมการใช้ NGV และการใช้แก๊สโซฮอล์ทดแทนน้ำมัน โดยจะมีการติดตั้งถังก๊าซ NGV ให้กับแท๊กซี่เพิ่มอีกจำนวน 2,000 คัน ภายในเดือนกรกฎาคมปี 2548 จากเดิมที่มีอยู่ 4,300 คัน สามารถช่วยลดการใช้น้ำมันเบนซินได้ 16 ล้านลิตร หรือคิดเป็นเงินประมาณ 350 ล้านบาทต่อปี และในระยะต่อไปจะให้มีอัตรารถยนต์ส่วนบุคคลและรถแท๊กซี่ที่ใช้ NGV เพิ่มขึ้นปีละ 20,000 คัน และในอนาคตจะออกระเบียบให้รถแท๊กซี่ที่จดทะเบียนใหม่ต้องเป็น รถ NGV พร้อมทั้งให้รถของส่วนราชการใน กทม.จำนวน 2,816 คัน เป็นรถ NGV ทั้งหมด โดยนำร่องรถของกระทรวงพลังงานจำนวน 40 คัน และรถต่างๆ ที่ใช้ในสนามบินสุวรรณภูมิ ขณะเดียวกันตั้งเป้าให้มีรถโดยสารที่ใช้ NGV ในปี 2548 นี้เพิ่มอีกจำนวน 500 คัน และเพิ่มในแต่ละปีปีละ 1,300 คัน สำหรับรถโดยสารและรถบรรทุก ขณะที่ด้านแก๊สโซฮอล์ จะขยายสถานีบริการน้ำมันจำหน่ายแก๊สโซฮอล์จาก 700 สถานี ให้เป็น 4,000 สถานีภายในปีนี้ และให้สถานีบริการน้ำมันในสถานที่ราชการจำนวน 413 แห่ง เปลี่ยนเป็นปั๊มแก๊สโซฮอล์ทั้งหมด
ด้านภาคอุตสาหกรรมจะมีการปรับกระบวนการผลิตและจัดการ โดยปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ประหยัดพลังงานปีละ 215 ล้านบาท พร้อมทั้งมาตรการสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้จำนวน 1,800 ล้านบาท สนับสนุนให้กับโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 52 โครงการ หรือปีละ 800 ล้านบาทสำหรับใช้ในการประหยัดพลังงานตลอดไป นอกจากนี้ให้ BOI ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และภาษีนำเข้าสำหรับอุปกรณ์พลังงาน และการส่งเสริมให้มีอุปกรณ์ด้าน พลังงานอย่างต่อเนื่อง--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ