กรุงเทพฯ--13 มิ.ย.--โอกิววี่ พับลิค รีเลชั่นส์ เวิลด์วายด์          วันนี้  มร. สตีเฟน บีกัน รองประธานฝ่ายบริหารรัฐกิจระหว่างประเทศ บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คอมปานี ได้กล่าวถึงผลกระทบของการเปิดการค้าเสรีที่มีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ ในงานสัมมนา “เอเชียน คอร์เปอเรท คอนเฟอเรนซ์” ครั้งที่ 15 (ASIAN CORPORATE CONFERENCE)           มร. สตีเฟน ได้อภิปรายหัวข้อหลักเรื่อง “การเปิดการค้าเสรีและการลงทุนในธุรกิจหลักของเอเชียตะวันออก เฉียงใต้” (Achieving Trade Liberalization and Drawing Investment in Southeast Asia’s Key Sectors)  โดยกล่าวว่า วิสัยทัศน์ผู้นำของไทยเห็นได้ชัดเจนจากการที่ประเทศไทยตัดสินใจไม่ใช้นโยบายรถยนต์แห่งชาติ  แต่ใช้นโยบายเปิดแทน เพื่อดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างยั่งยืน           “วันนี้ นโยบายเปิดของไทยเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ประสพความสำเร็จอย่างงดงาม  และประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นศูนย์การผลิตรถยนต์ “ดีทรอยท์แห่งเอเชีย” แล้ว   รัฐบาลไทยได้สร้างบรรยากาศการลงทุนเสรี ซึ่งรวมถึงการผ่อนปรนกฎระเบียบการถือหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ และการมอบสิทธิประโยชน์ที่ดีทางเศรษฐกิจ”           “นโยบายนี้ดึงดูดผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ทุกราย ซึ่งรวมถึงบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คอมปานี ให้เข้ามาลงทุนในไทย  การมีวิสัยทัศน์ก้าวหน้าด้านการค้าระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์ส่งออกยานยนต์สู่ทั่วโลก  และมีตลาดภายในที่โตมากถึงระดับ 650,000 คัน พร้อมระบบสาธารณูปโภคด้านพลังงานและบริการโลจิสติกส์ที่ดี มีอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่ที่เข้มแข็ง และมีพนักงานที่มีทักษะจำนวนมาก”  มร. สตีเฟน กล่าว           การสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้นในหัวข้อ “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขาขึ้น: การขยายตัวของภูมิภาคท่ามกลางยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของเอเชีย” (Southeast Asia Rising: a Regional Booming Among Asia’s Economic Giants)  โดยมีฟอร์ด มอเตอร์ คอมปานีเป็นหนึ่งในบริษัทผู้สนับสนุนการจัดงาน            ฟอร์ดมีความมุ่งมั่นพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในระยะยาว ซึ่งเห็นได้จากการลงเม็ดเงินลงทุนจำนวนมาก อาทิ ในเดือนตุลาคม 2546  มร. บิล ฟอร์ด ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คอมปานี ได้ประกาศเพิ่มเงินลงทุนอีก 1 เท่าตัวที่โรงงานบริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือเอเอที โดยได้จัดสรรอีก 500 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับโครงการรถยนต์ใหม่ๆ และขยายกำลังการผลิต  ซึ่งในไตรมาสที่ 1 ปี 2548 เอเอที ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป หรือ CBU อันดับ 1  สู่กว่า 130 ประเทศทั่วโลก           “ฟอร์ดยังได้เลือกจัดตั้งสำนักงานใหญ่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและแอฟริกาที่กรุงเทพฯ  ซึ่งจะช่วยพัฒนาบุคลากรในประเทศได้มาก” มร. สตีเฟน กล่าว           และเสริมว่า “นอกจากเชื่อว่าประเทศไทยเป็นดีทรอยท์แห่งเอเชียแล้ว อุตสาหรกรรมยานยนต์ไทยยังมีศักยภาพที่จะเติบโตอีกมากในอนาคต ความสำเร็จของฟอร์ดในไทย มีความสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จของฟอร์ดในเอเชียแปซิฟิก ขณะที่ฟอร์ดไม่ยอมพลาดโอกาสจากการเติบโตทางเศรษฐกิจในจีน เรามองว่าอาเซียนก็มีความสำคัญเท่ากัน เราจะไม่เลือกทางใดทางหนึ่ง แต่ฟอร์ดมองเห็นภาพชัดเจนว่า เราต้องประสพความสำเร็จให้เท่าเทียมกันในตลาดที่เติบโตมากๆ ซึ่งได้แก่ จีน อาเซียน และอินเดีย“           “เมื่อเรามองแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ฟอร์ดได้สนับสนุนนโยบายรัฐบาลไทยใน 2 ด้าน คือนโยบายเอทานอลแห่งชาติ และโครงการอีโคคาร์  ซึ่งเราเชื่อว่าประเทศไทยมีข้อได้เปรียบสู่การก้าวขึ้นเป็นศูนย์เทคโนโลยีเอทานอลและศูนย์การผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก  ฟอร์ดกำลังศึกษาแผนการลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิตใหม่ในภูมิภาคนี้ ซึ่งประเทศไทยมีโอกาสสูง           “การมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนนั้น นโยบายยานยนต์ไทย ไม่ควรให้บริษัทใดเป็นเจ้าตลาดแต่รายเดียว  ขณะที่มีเพียงผู้ผลิตรถยนต์บางราย สนับสนุนการพัฒนารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงเอทานอลในไทย  ฟอร์ดได้ประกาศชัดเจนว่าจะสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลไทยในการผลิตรถยนต์ที่ใช้เอทานอล E20 (ประกอบด้วยเอทานอลจากแหล่งพืชธรรมชาติ 20% และน้ำมันเบนซิน 80%)  เราวางเป้าหมายที่จะช่วยทำให้ไทยก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งศูนย์กลางชั้นนำด้านเทคโนโลยีเชื้อเพลิงทางเลือกใหม่ๆ ในเอเชีย และลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบไปพร้อมกัน”  มร. สตีเฟน กล่าวสรุป            รายละเอียดเพิ่มเติม           พอลลีน คี                      โทร.  0 2686 4319                           อีเมล์ [email protected]          นที ศาสตร์ยังกุล             โทร. 0 2 686 4000 ต่อ 4635             อีเมล์ [email protected]จบ--