กรุงเทพฯ--18 ก.พ.--เฮอร์เมส คอมมูนิเคชั่น
กลุ่มสิทธิผลโชว์ผลการดำเนินงานปี 2547 ทะลุ 2.5 หมื่นล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อนหน้า 15.6%
โดยธุรกิจในกลุ่มที่ผลการดำเนินงานดีที่สุด ได้แก่ กลุ่มการตลาด เหล็ก และพลังงานเนื่องจากการรักษาความต่อเนื่องของการป้อนสินค้าสู่ตลาดและความพร้อมด้านวัตถุดิบ
นายทนง ลี้อิสสระนุกูล กรรมการผู้จัดการกลุ่มสิทธิผลผู้ผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์รายใหญ่ของประเทศเปิดเผยว่า ปี 2547 ที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีปัจจัยที่น่าเป็นห่วงหลายด้านทั้งด้านสถานการณ์น้ำมันโลก ความไม่สงบทางภาคใต้ของไทยและอื่นๆแต่การดำเนินงานกลุ่มสิทธิผลยังคงเป็นที่น่าพอใจโดยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 25,783 ล้านบาท ขยายตัวจากปี 2546 ราว 15.6%
กลุ่มสิทธิผล (The Sittipol Group) ประกอบด้วยธุรกิจหลัก 6 กลุ่ม มีผลการดำเนินงานในปี 2547 แยกตามกล่มธุรกิจ ดังนี้
กลุ่มการตลาด 2,350 ล้านบาท
กลุ่มอุปกรณ์ส่องสว่าง 12,375 ล้านบาท
กลุ่มธุรกิจยาง 5,750 ล้านบาท
กลุ่มชิ้นส่วนเหล็ก 2,662 ล้านบาท
กลุ่มพลังงาน 2,436 ล้านบาท และ
กลุ่มวิจัย-พัฒนา 210 ล้านบาท
นายทนง กล่าวด้วยว่า เมื่อเปรียบเทียบอัตราการเติบโตระหว่าง 6 กลุ่มธุรกิจย่อยนั้น กลุ่มที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุด คือ กลุ่มการตลาด โดยเพิ่มขึ้นถึง 30% จากปีก่อน ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจัยสำคัญด้านการเติบโตของยอดขายภายในประเทศ ประเภทของสินค้าที่หลากหลายสามารถรองรับความต้องการของตลาดได้อย่างกว้างขวาง
การรักษาความต่อเนื่องของการป้อนสินค้าเข้าสู่ตลาด ไม่ให้ขาดตลาด รวมถึงการกำหนดระดับราคาสินค้าที่เหมาะสม และการปรับราคาสินค้าในสัดส่วนที่เหมาะสมกับสภาวการณ์
สำหรับกลุ่มธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานรองลงมา ได้แก่ ธุรกิจเหล็กและชิ้นส่วนยานยนต์ เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโต คือ การวางแผนความพร้อมด้านวัตถุดิบการปรับปรุงอันดับค่าใช้จ่ายในการผลิต การควบคุมอัตราสูญเสียจากการผลิต และ ตลาดส่งออกที่ดีอย่างต่อเนื่องทั้งปี
ส่วนกลุ่มพลังงาน เติบโตเป็นอันดับที่สาม เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อน โดยมีความพร้อมด้านวัตถุดิบ รวมถึงหน่วยราคาสินค้าที่สูงขึ้นตามสถานการณ์น้ำมันโลก
ด้านกลุ่มอื่นๆ ที่เหลือ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจยาง กลุ่มอุปกรณ์ส่องสว่าง และกลุ่มวิจัยและพัฒนา ล้วนมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับที่น่าพอใจ คือ เพิ่มขึ้น 12.5%, 15% และ 5% ตามลำดับ
นายทนง กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มสิทธิผลในปี 2547 (รวมทั้งสิ้น 25,783 ล้านบาท) สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 25,000 ล้านบาท หรือสูงกว่าเป้าหมายราว 3.2% อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานระหว่างครึ่งปีแรกกับครึ่งปีหลังจะเห็นว่าในครึ่งปีหลังรายได้ลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
คาดว่าเกิดจากสถานการณ์โดยรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยครึ่งปีแรกมีรายได้ 12,900 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีหลังมีรายได้ราว 12,883 ล้านบาท.--จบ--