วิธีมัดใจผู้บริหารให้เห็นด้วยกับการนำระบบไอทีมาใช้บริหารองค์กร

ข่าวทั่วไป Monday January 31, 2005 14:35 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--31 ม.ค.--คาร์ลบายร์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์
"ระบบไอทีมีความสำคัญจริงหรือ?" ถ้าคณะกรรมการบริหารในบริษัทของคุณตั้งคำถามในลักษณะดังกล่าวแล้ว สเตซี่ สมิธ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสารสนเทศ และรองประธานฝ่าย Finance and Enterprise Services อินเทล คอร์ปอเรชั่น ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีแนะนำว่าสิ่งที่คุณต้องทำก็คือการชี้แจงให้บรรดาผู้บริหารเห็นว่าระบบไอทีจะส่งผลดีต่อบริษัทของคุณอย่างไรบ้าง ในบทความชิ้นนี้ จะทำให้คุณทราบถึงวิธีการนำเสนอรายงานที่แสดงให้ผู้บริหารเข้าใจว่าระบบไอทีจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและก่อให้เกิดรายได้ต่อบริษัทได้อย่างไร ลองไปฟังคำแนะนำจาก สเตซี่ สมิธ กันดูว่าเป็นอย่างไร
ความเห็นจาก สเตซี่ สมิธ
คุณอาจคิดว่า CIO หรือประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสารสนเทศของบริษัทเทคโนโลยีอย่างอินเทลคงไม่ต้องมานั่งหาคำอธิบายต่อคณะกรรมการบริหารบริษัทถึงคุณค่าของระบบไอทีอย่างแน่นอน หลายคนเชื่ออย่างนั้น แต่ความจริงแล้ว CIO ของอินเทลต้องทำงานยากกว่าหลายเท่า เนื่องจากอินเทลถือว่าตนคือ "ลูกค้ารายแรก" ของตัวเอง ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องนำผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นใหม่ๆ มาลองเล่นลองใช้ซ้ำๆ กันก่อนที่จะมีการนำออกสู่ตลาดเสียอีก
อันที่จริงแล้ว CIO ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากกว่าที่ใครๆ จะคาดคิด ไม่ว่า CIO คนนั้นจะทำงานอยู่ในบริษัทเทคโนโลยีหรือบริษัทก่อสร้างก็ตาม ผมได้มีโอกาสพบปะกับ CIO ทั่วโลกและพบว่า CIO ทุกคนล้วนต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจเหมือนๆ กัน และปัญหาที่ว่านั้นก็เกิดขึ้นกับทุกสภาพธุรกิจ (ไม่ว่าบริษัทนั้นกำลังอยู่ในระหว่างขาขึ้น ขาลง หรือคงที่ก็ตาม) นั่นก็คือ การที่บริษัทต้องการนำระบบไอทีมาแก้ปัญหาทางธุรกิจที่มีเพิ่มขึ้น แต่ทว่าบริษัทกลับมีงบประมาณที่จำกัดกว่าเดิมเช่นกัน
ในช่วง 6 ปีระหว่างปี 1998 จนถึงปี 2004 สภาพเศรษฐกิจทั่วโลกต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วก่อนหน้านั้นต้องเผชิญกับสภาพหยุดนิ่ง หลังจากที่ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ Y2K ตามด้วยสภาพฟองสบู่แตกของโลกดอตคอม วงจรเหล่านี้ทำให้งานของ CIO ในบริษัทต่างๆ มีความท้าทายเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากบริษัทหวังพึ่งพาระบบไอทีเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของตนเอง
อินเทลเองก็ต้องเผชิญกับปัญหาในลักษณะเดียวกัน แผนกไอทีแม้ว่ามีอัตราเติบโตระดับปานกลางเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับขนาดของบริษัทก็ตาม แต่แผนกนี้ก็จำเป็นต้องมีการปรับปรุงระบบไอทีให้ดีขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า ตัวอย่างเช่น แบนด์วิธของระบบแลนต่อพนักงานแต่ละคนเพิ่มจาก 2.25 MB เป็น 35 MB ต่อคนในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเกือบ 1,500 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้นอินเทลยังพบว่าอัตราการใช้อีเมล ระบบเทเลโฟนี และการติดต่อเข้าถึงข้อมูลจากนอกสำนักงานก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ CIO ทุกคนจึงเผชิญกับอุปสรรคในลักษณะเดียวกัน เรื่องแรกสุดคุณจำเป็นต้องค้นหาจุดที่สามารถดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพในโครงสร้างของค่าใช้จ่ายให้ได้ จุดที่ดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพดังกล่าวจะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายได้ จากนั้นคุณก็จะนำเงินที่ประหยัดได้ไปลงทุนกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เรื่องที่สอง CIO จำเป็นต้องหาทางคำนวณให้ได้ว่าเมื่อมีการลงทุนโครงการไอทีใดๆ แล้ว คุณค่าที่ได้รับจะมีมากน้อยเพียงใด ตัวเลขของคุณค่าดังกล่าวที่เห็นได้อย่างชัดเจนจะช่วยให้แผนกไอทีสามารถดึงงบลงทุนที่มีอยู่อย่างจำกัดมาจากแผนกอื่นๆ ได้ นอกจากนี้การนำเสนอแผนงานที่ชัดเจนยังช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถจัดลำดับความสำคัญของการลงทุนต่างๆ ได้ดีขึ้นกว่าเดิมด้วย
เราจะค้นหาคุณค่ากันอย่างไร
อินเทลเชื่อมั่นว่าประสบการณ์ดังกล่าวของตนเองจะช่วยให้ CIO คนอื่นๆ สามารถนำไปเป็นแบบอย่างหรือใช้ประโยชน์ได้ นับตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา อินเทลได้นำเอาแผนงาน IT Business Value Program มาใช้ภายในองค์กรก่อน ต่อมานักวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้นำเอาแผนงานดังกล่าวไปปรับปรุงจนกระทั่งกลายเป็นวิธีการมาตรฐาน เพื่อใช้ในการคาดการณ์และจัดลำดับความสำคัญเกี่ยวกับการตัดสินใจเรื่องของการลงทุน การบริหารงบลงทุนในแบบต่างๆ และการจ่ายผลตอบแทนแก่พนักงานเพื่อช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายการทำธุรกิจที่วางเอาไว้ได้
หลังจากที่นำเอาแผนงานดังกล่าวมาใช้แล้ว ในช่วงปี 2002 ถึง 2003 แผนกไอทีของอินเทลสามารถทำรายได้ให้กับบริษัทได้มากถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และภายในปี 2004 ทางแผนกก็สามารถทำรายได้อีก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐอย่างที่ตั้งเป้าเอาไว้ จุดเด่นอย่างหนึ่งของระบบวิเคราะห์คุณค่าทางธุรกิจ คือ ระบบนี้ช่วยให้ผู้ริหารของอินเทลเข้าใจว่าการลงทุนแบบใดที่จะก่อให้เกิดผลตอบแทนได้มากกว่ากัน
แผนงาน Business Value ของอินเทลเริ่มจากขั้นตอนแบบง่ายๆ ก็คือ การคำนวณตัวเลขผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ก่อนที่จะเริ่มโครงการ สิ่งที่อินเทลได้เรียนรู้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็คือผลลัพธ์ที่ได้ไม่จำเป็นต้องส่งผลกระทบในแง่บวกต่อธุรกิจเสมอไป
ดังนั้นเราจึงทำการประเมินผลโครงการเทียบกับดรรชนีวัดคุณค่าทางธุรกิจ (Business Value Index) ซึ่งเป็นการวัดเพื่อเทียบว่า Business Value และ IT Efficiency จะส่งผลกระทบต่อองค์กรอย่างไรบ้าง ถ้าหากตัวเลขของโครงการใดคำนวณออกมาแล้วส่งผลกระทบที่เป็นลบ บริษัทก็ไม่ควรดำเนินโครงการดังกล่าว
แม้ว่าการคำนวณคุณค่าเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้นก็ตาม แต่ก็ช่วยให้อินเทลมีวิธีการประเมินผลโครงการต่างๆ ได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การบีบอัดสัญญาณเสียงอาจส่งผลทำให้เสียงมีคุณภาพลดลง เสียงที่ได้อาจไม่ชัดเจนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็อยู่ในระดับที่พอยอมรับได้ และการทำแบบนี้ยังช่วยประหยัดเงินได้อย่างมากอีกด้วย
ส่วนโครงการอื่นๆ อาจจะก่อคุณค่าที่ดีมากต่อธุรกิจ แต่โครงการเหล่านั้นอาจเสียค่าใช้จ่ายสูงมากก็เป็นได้ ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายอาจทำให้พนักงานของอินเทลสามารถทำงานแบบโมไบล์ได้มากขึ้น จนกระทั่งแปรเปลี่ยนเป็นผลผลิตที่เพิ่มขึ้นหลายเท่า แต่คุณก็จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักด้วยว่าการใช้เงินเพื่อซื้ออุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ รวมทั้งการเพิ่มจำนวนพนักงานเพื่อคอยดูแลระบบดังกล่าวนั้น เป็นสิ่งที่คุ้มค่าหรือไม่
นอกจากนั้น การลงทุนด้านไอทียังอาจทำให้การดำเนินงานทางธุรกิจดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าก็เป็นได้ โดยเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ อินเทลได้เปลี่ยนจากการใช้เวิร์กสเตชั่นแบบ RISC ไปเป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้สถาปัตยกรรมเทคโนโลยีของอินเทลและใช้ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ วิธีการทำแบบนี้นอกจากทำให้ต้นทุนของอินเทลลดลง 100 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว ระบบยังมีประสิทธิภาพดีขึ้นสองเท่าเมื่อเทียบกับระบบเวิร์กสเตชั่นแบบเก่าอีกด้วย
อินเทลมักจะเน้นแนวทางอนุรักษ์นิยมเมื่อจำเป็นต้องดำเนินโครงการใดๆ ดังนั้นในรายงานค่าใช้จ่ายจึงมีการระบุตัวเลขทุกครั้งที่มีการประเมินผลไม่ว่าจะเป็นโครงการใดก็ตาม และในการประเมินผลโครงการต่างๆ นั้น อินเทลยังระบุลงไปในรายงานค่าใช้จ่ายด้วยว่า ทุกแผนกที่มีส่วนเกี่ยวข้องมีเป้าหมายว่าจะทำรายได้ต่อบริษัทมากน้อยขนาดไหน ดังนั้นการประเมินผลทุกอย่างที่มีตัวเลขและวัดค่าได้ อาทิเช่น การประหยัดต้นทุน การเสียเวลารอคอยลดลง และอื่นๆ จะถูกรวบรวมไว้ในรายงาน เพื่อสรุปเป็นมูลค่าโดยรวมที่มีผลต่อธุรกิจ
เรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ
หลังจากที่มีมาตรการวัดคุณค่าที่เข้มงวดเอาไว้ใช้งานแล้ว อินเทลได้เน้นไปที่การจัดทำโครงสร้างอีบิซิเนสซึ่งมีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของพนักงานภายในบริษัทและลูกค้าภายนอกบริษัท รวมทั้งยังหาทางใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสื่อสารให้มากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ถ้าหากดูจากแง่มุมนี้เราจะพบว่าอินเทลตั้งเป้าไปที่การปรับปรุงประสิทธิภาพในการประมวลผลไปพร้อมๆ กับการเพิ่มระบบสื่อสารไร้สายลงไปในระบบด้วย
อีกองค์ประกอบหนึ่งก็คือ เครื่องมือวิเคราะห์ทางธุรกิจประเภทต่างๆ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้พนักงานที่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลสามารถนำเอาข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจอย่างเหมาะสมได้ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใดก็ตาม ถ้าจะพูดให้เจาะจงกว่านั้นก็คือ เราต้องการนำเอาระบบไอทีไปใช้ในงานที่ไม่ค่อยมีใครนำไปใช้มาก่อน เนื่องจากอาจติดปัญหาเรื่องการติดตั้งใช้งานที่ยุ่งยากลำบากนั่นเอง
จุดที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ การนำเอาอุปกรณ์ส่งสัญญาณวิทยุที่เรียกว่า Radio Frequency Identification (RFID) ไปติดตั้งในระดับของโปรเซสเซอร์เลย เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นการใช้คลื่นวิทยุเพื่อใช้ในการระบุวัตถุหรือผู้คนผ่านทางข้อมูล (โดยปกติแล้วมักเป็นหมายเลขเรียงตามลำดับหรือข้อมูลอื่นๆ) ที่เก็บเอาไว้ในอุปกรณ์เหล่านั้น อุปกรณ์ทั่วไปสามารถฝังชิปข้อมูลดังกล่าวเอาไว้ในตัวได้ นอกจากนั้นชิปที่ฝังเอาไว้ยังมีเสาอากาศขนาดเล็กในตัวเพื่อส่งข้อมูลไปยังเครื่องอ่านข้อมูลได้ด้วย (แหล่งข้อมูลhttp://www.rfidjournal.com/article/articleview/207#Anchor-What-363)
RFID กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อใช้เป็นทางเลือกใหม่ในการทำธุรกิจแบบต่างๆ อาทิเช่น การฝังไว้ในป้ายบาร์โค้ดของสินค้า เป็นต้น บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในอเมริกาอย่าง Wal-Mart ได้นำเอาเทคโนโลยีชนิดนี้ไปใช้เพื่อติดต่อซื้อขายสินค้ากับซัพพลายเออร์ของตนแล้ว บริษัทวิจัย ไอดีซี คาดการณ์ว่าเทคโนโลยี RFID ในอุตสาหกรรมค้าปลีกของอเมริกาจะเติบโตจากตัวเลข 91.5 ล้านเหรียญสหรัฐของปีก่อนไปเป็น 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2008 (แหล่งข้อมูล http://www.rfidjournal.com/article/articleview/733/1/1/)
ส่วนอินเทลมองว่าเทคโนโลยีชนิดนี้สามารถนำไปใช้งานในระดับไมโครโปรเซสเซอร์ได้ ซึ่งจะทำให้อินเทลบริหารสินค้าคงคลังและการจำหน่ายสินค้าได้ดีขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ยังสามารถใช้สนองตอบต่อเป้าหมายสูงสุดของการทำธุรกิจได้ด้วย นั่นก็คือขั้นตอนการทำธุรกิจอย่างคล่องตัว โดยมีการไหลเวียนของข้อมูลอย่างรวดเร็วแบบอัตโนมัติ
สิ่งที่มีความจำเป็นอีกอย่างหนึ่งสำหรับธุรกิจในปัจจุบันก็คือ เทคโนโลยีสื่อสารไร้สาย เนื่องจากคุณสามารถนำเอาระบบประมวลผลแบบโมดูลที่มีราคาไม่แพงไปผสานกับขั้นตอนการทำธุรกิจได้โดยง่าย ภายใต้รูปแบบการทำงานที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ตัวอย่างเช่น
เมื่อผมได้มีโอกาสพบกับวิศวกรซึ่งกำลังรับผิดชอบการก่อสร้างเทอร์มินอลแห่งใหม่ในสนามบินฮีทโทรว์ที่กรุงลอนดอน พวกเขาติดตั้งฮอตสปอตระบบสื่อสารไร้สายเพื่อทำให้สามารถดาวน์โหลดและปรับความสอดคล้องข้อมูลแผนงานการทำงานประจำวันด้วยโน้ตบุ๊กที่ใช้อินเทล เซนทริโน โมบายล์ เทคโนโลยี บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ระดับนี้ ค่าใช้จ่ายของคุณจะเพิ่มหรือลดมักขึ้นอยู่กับว่าคุณมีการประสานงานการทำงานได้ดีเพียงใด ตัวอย่างเช่น เมื่อช่างไฟฟ้าหรือช่างทาสีอาจมาทำงานเร็วกว่าช่างกลุ่มอื่นๆ พวกเขาจึงรีบลงมือทำงานไปก่อน แต่ต่อมาภายหลังคุณต้องมารื้องานของพวกเขาใหม่ เนื่องจากคุณพบว่างานที่ทำไปไม่ตรงกับสเปกที่กำหนดเอาไว้ เป็นต้น ดังนั้นถ้าหากช่างทุกแผนกสามารถตรวจเช็คตารางการทำงานของตนเองได้โดยอัตโนมัติที่ไซต์งานเลย คุณจะประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปได้อย่างมาก
ส่วนผู้เชี่ยวชาญเรื่องสวนสัตว์ในประเทศจีนก็ใช้ระบบสื่อสารไร้สายเอาไว้คอยติดตามการเคลื่อนไหวของเหล่าหมีแพนด้าซึ่งอยู่ในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ Wolong Nature Reserve เช่นกัน โดยเมื่อตอนต้นเดือนตุลาคม 2004 ที่ผ่านมา อินเทลออกมาประกาศว่าได้ติดตั้งระบบสื่อสารไร้สายและระบบสื่อสารบอร์ดแบนด์ให้แก่ศูนย์อนุรักษ์แห่งนี้เรียบร้อยแล้วนอกจากนั้นยังมีการติดต่อสื่อสารระหว่างศูนย์อนุรักษ์แห่งนี้กับ "ห้องทดลองเรียนรู้พฤติกรรมสัตว์" ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานการกุศลชื่อ GLOBIO ในเมือง พอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอนด้วย โดยที่เด็กๆ ทั้งหลายจะมีโอกาสเรียนรู้ความเป็นไปของเหล่าสัตว์ต่างๆ ได้ในทันที ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสวนสัตว์ที่จีนจะทำการอัพโหลดข้อมูลต่างๆ อาทิวิดีโอ ภาพถ่าย และข้อมูลการเคลื่อนไหวของหมีแพนด้า ผ่านระบบเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงโดยใช้โน้ตบุ๊กที่ใช้ อินเทล เซนทริโน โมไบล์ เทคโนโลยี มายังอเมริกาได้โดยตรง (แหล่งข้อมูล http://www.intel.com/community/spotlight/spotlight.htm)
โลกกำลังมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากเทคโนโลยีระบบสื่อสารไร้สายนั่นเอง และการเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ผมคิดว่าพวกเรามีโอกาสเห็นการนำเอาระบบสื่อสารไร้สายไปใช้งานในสำนักงานและอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มมากขึ้นภายในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้านี้แน่นอน
ความเห็นของลูกค้ารายแรก
เรื่องหนึ่งซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับการดำรงตำแหน่ง CIO ของอินเทลก็คือ ผมมีโอกาสได้ทำงานร่วมกับแผนกผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่รับผิดชอบการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อนำมาใช้งานในอนาคต ซึ่งในฐานะของลูกค้ารายแรกที่มีโอกาสใช้ผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นต่างๆ ของอินเทล ความเห็นจากแผนกไอทีของอินเทลเองจึงถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก
ผลของการทำงานร่วมกันซึ่งปรากฏเป็นรูปธรรมที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ ตอนที่แผนกไอทีต้องทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับแผนกเซิร์ฟเวอร์ของอินเทล เพื่อหาทางนำเอาคุณสมบัติระบบประมวลผลอัจฉริยะชนิดต่างๆ ไปให้ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่มีโอกาสใช้งาน ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในศูนย์ข้อมูลก็คือ การบริหารอัตราการใช้พลังงานและความร้อนที่เกิดขึ้นจากเซิร์ฟเวอร์อะเรย์ ขนาดใหญ่ โดยที่แรกเม้าท์แต่ละชุดจะมีการประมวลผลในระดับที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าใช้แรกเม้าท์แต่ละชุดทำงานอะไรบ้าง การรับมือกับปัญหาความร้อนที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องที่เสียค่าใช้จ่ายสูงมาก และเราจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาลจึงจะทำให้อะเรย์เหล่านี้ทำงานได้เย็นในระดับที่เราต้องการได้ ด้วยเหตุนี้แผนกไอทีจึงทำงานร่วมกับแผนกวิจัยและพัฒนาสร้างโซลูชั่นระดับฮาร์ดแวร์มารับมือกับปัญหานี้โดยเฉพาะ โดยผลงานที่เกิดขึ้นเป็นการนำเอาประสบการณ์ในการบริหารศูนย์ข้อมูลของอินเทลเองมาใช้นั่นเอง (ตัวอย่างเช่น อินเทลมีการติดตั้งระบบ Demand-Based Switching (DES) ที่สามารถปรับระดับประสิทธิภาพของโพรเซสเซอร์และอัตราการใช้พลังงานได้โดยขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้งานของผู้ใช้เป็นหลัก ซึ่งจะทำให้มูลค่าโดยรวมของการเป็นเจ้าของลดลงไปได้อย่างมาก ส่วนระดับการใช้พลังงานสามารถปรับเปลี่ยนได้โดยการตั้งระดับความถี่และโวลเตจเป็นหลัก คุณสมบัตินี้คล้ายคลึงกับเทคโนโลยี Intel SpeedStep ที่มีอยู่ในโน้ตบุกที่ใช้ อินเทล เซนทริโน โมไบล์ เทคโนโลยี นั่นเอง)
อีกตัวอย่างหนึ่งที่แผนกไอทีของอินเทลมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยก็คือ ความเห็นที่ได้รับมาจากผู้ใช้จนนำไปสู่การพัฒนา Intel Active Management Technology (Intel AMT) ออกมา เทคโนโลยีชนิดนี้ช่วยให้องค์กรต่างๆ แก้ปัญหาและบริหารระบบเครือข่ายแบบรีโมตได้ แม้ว่าจะเกิดปัญหาไฟดับหรือระบบปฏิบัติการจะมีสภาพแบบใดก็ตาม
นอกจากนั้นเรายังมีการสร้าง "ระบบเชื่อมโยง" กับเทคโนโลยีระดับเอ็นเตอร์ไพรซ์เพื่อที่เราจะบริหารระบบในระดับที่ต่ำกว่าระบบปฏิบัติการได้ วิธีการนี้ช่วยให้ผู้ดูแลระบบควบคุมระบบแบบเสมือนจริงได้ ซึ่งก่อให้เกิดผลดีตามมาเป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น รูปแบบการติดต่อกับระบบในแบบที่ไม่เคยทำได้มาก่อน คุณสมบัติการแก้ปัญหาที่ครอบคลุมและดีขึ้นกว่าเดิม โดยที่ไม่จำเป็น ต้องเพิ่มจำนวนพนักงานเพื่อมาคอยดูแลโครงสร้างพื้นฐานของระบบแต่อย่างใด
ดังนั้นคุณคงจะเห็นแล้วว่าเมื่อพูดถึงการเผชิญกับความท้าทายในการทำธุรกิจแล้ว องค์กรแบบเก่า (เช่น โรงงานผลิตหรือบริษัทก่อสร้าง) กับองค์กรไฮเทคอย่างอินเทลไม่ได้มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด
การที่กลุ่มลูกค้าของอินเทลเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องเทคโนโลยีเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ทำให้ผม ไม่อาจสนทนากับพวกเขาโดยบอกแต่เพียงว่าเทคโนโลยีมีประโยชน์อย่างไร หากแต่เราต้องสนทนากับพวกเขาแล้วเปลี่ยนให้พวกเขาเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีคือสิ่งที่จะช่วยพวกเขาได้อย่างแท้จริง
หัวใจสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ บทบาทของ CIO และองค์กรไม่ได้แตกต่างกันแต่อย่างใด ไม่ว่าเราจะอยู่ในบริษัทเทคโนโลยีหรือบริษัทก่อสร้างก็ตาม อุปสรรคทางธุรกิจหลายอย่างที่อินเทลกำลังเผชิญอยู่ไม่ได้แตกต่างจากบริษัทซึ่งอยู่ในธุรกิจแบบดั้งเดิมอย่างการผลิตหรือค้าปลีกแม้แต่น้อย ผมเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าแนวทางปฏิบัติของเราและการลงทุนเกี่ยวกับเทคโนโลยีสำหรับธุรกิจต่างๆจัดเป็นหลักการณ์ที่นำไปแลกเปลี่ยนกันได้ไม่ว่าคุณจะอยู่ในธุรกิจใดก็ตาม
ข้อมูลประกอบ:
วิธีการสร้างคุณค่าต่อธุรกิจ
แนวทางการเลือกลงทุนอย่างชาญฉลาดของอินเทลเกี่ยวข้องกับการวางแผนอย่างรอบคอบและระมัดระวังการสร้างคุณค่าต่อธุรกิจ ประกอบด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้
เริ่มต้นจากโครงการที่สามารถให้ผลตอบแทนและการลงทุนได้ เรื่องนี้แม้เป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าใจดีอยู่แล้วก็ตาม แต่เราก็อยากจะขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง
โครงการที่สร้างคุณค่าต่อธุรกิจ รวมทั้งทำให้ระบบไอทีทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก่อให้เกิดผลดีต่อบริษัทมากกว่า (แต่จุดเด่นทั้งสองเรื่องต้องไม่ขัดแย้งกันเอง)
ในบางครั้ง อะไรบางอย่างที่มีน้อยลงอาจจะก่อให้เกิดผลดีมากขึ้นกว่าเดิมได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น การบีบอัดสัญญาณเสียงอาจทำให้สัญญาณเสียงมีคุณภาพด้อยลง (แต่ยังจัดเป็นสัญญาณที่มีคุณภาพพอยอมรับได้) ดังนั้นการสื่อสารจึงยังคงใช้การได้ต่อไป และช่วยให้บริษัทประหยัดเงินได้มหาศาลอีกด้วย
รู้จักจุดอ่อนของตัวเอง
ประเมินผลเฉพาะข้อมูลที่วัดออกมาเป็นตัวเลขได้
ใช้แนวทางแบบอนุรักษ์นิยม โดยอินเทลกำหนดให้แต่ละแผนกมีเป้าหมายทางธุรกิจของตนที่ต้องปฏิบัติตามให้ได้
นำเอาระบบไอทีไปก่อให้เกิดประโยชน์ต่อจุดที่คุณไม่ได้นึกถึงมาก่อน เช่น การทำงานขณะปฏิบัติงานภาคสนาม การทำงานขณะเดินทาง หรือการทำงานขณะอยู่ในสถานที่ก่อสร้าง เป็นต้น สิ่งที่คุณควรนึกถึงก็คือเทคโนโลยีสื่อสารแบบไร้สาย
ข้อมูลเกี่ยวกับ สเตซี่ สมิธ
สเตซี่ สมิธ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานแผนก Finance and Enterprise Services และผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีของ อินเทล คอร์ปอเรชั่น ก่อนหน้านี้ เคยเป็นรองประธานแผนก Sales and Marketing Group และผู้จัดการทั่วไป ของ Intel Europe, Middle East and Africa (EMEA) มีประสบการณ์รับผิดชอบฝ่ายขายและฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ของอินเทลในแถบ EMEA ตั้งแต่ปี 2001 เคยรับผิดชอบงานในตำแหน่ง worldwide group controller ของแผนก Sales and Marketing Group ระหว่างปี 1999- 2001 และ group controller แผนก Assembly Test Manufacturing Group ในปี 1996-1999
ก่อนหน้าที่จะมาร่วมงานกับอินเทล สเตซี่ สมิธ เคยทำงานเป็นผู้จัดการแผนกไอทีของบริษัท Matt David Corporation (MDC)
สเตซี่ สมิธ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี และ M.B.A จากมหาวิทยาลัยเทกซัส
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
อรวรรณ ชื่นวิรัชสกุล คาร์ลบายร์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์
โทรศัพท์: 0-2627 3501 ต่อ 212
อีเมล: orawan@carlbyoir.com.hk--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ