กรุงเทพฯ--21 ก.ค.--สป.
สภาที่ปรึกษาฯ เสนอรัฐจัดทำนโยบายการบริหารจัดการน้ำของชาติ ย้ำต้องดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ขจัดระบบอภิสิทธิ์ การใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม และต้องโปร่งใส โดยต้องหลีกเลี่ยงการโยกโอนเงินงบประมาณจากโครงการหนึ่งไปยังอีกโครงการหนึ่ง ทั้งนี้
ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติการต้องติดตามสภาพปัญหาภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง และสามารถแก้ปัญหาได้ทันเหตุการณ์
วันนี้ (14 ก.ค.48) ที่ประชุมสภาที่ปรึกษาฯ (สภาใหญ่) ลงมติรับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ “ปัญหาภัยแล้งของประเทศกับแนวทางการบรรเทาและแก้ไข (ระยะสั้นและระยะยาว)” คณะทำงานศึกษาและอนุรักษ์แม่น้ำเจ้าพระเยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลองและแม่น้ำบางปะกง ได้นำเสนอหลังจากมีการศึกษาเกี่ยวกับสถานการณ์ของปัญหาเรื่องทรัพยากรน้ำ และการจัดการน้ำ ในส่วนต่างๆ
ของประเทศทุกปี โดยเฉพาะภาคเกษตร ซึ่งใช้น้ำในปริมาณที่มากกว่าภาคอื่นๆ และส่งผลต่อการอุปโภคบริโภคน้ำของคนในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งคณะทำงานฯ ใช้ประเด็นของภาคตะวันออกเป็นกรณีศึกษา
โดยข้อเสนอแนะในประเด็นดังกล่าวแบ่งเป็น 2 แนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ คือ แนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศโดยทั่วไป และแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภาคตะวันออก และโครงการอีสเทอร์น ซีบอร์ด สามารถสามารถสรุปได้ดังนี้ คือ 1. แนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศโดยทั่วไป ประกอบด้วย 1.1 การจัดทำนโยบายในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติและ 25 แม่น้ำสำคัญของประเทศของผู้บริหารประเทศต้องมีความเป็นรูปธรรม ชัดเจน
จริงจัง และมีความต่อเนื่อง 1.2 รัฐต้องจัดสรรงบประมาณตามลำดับความสำคัญและความจำเป็น 1.3 ต้องศึกษาติดตามสภาพปัญหาให้รู้อย่างถ่องแท้ และกำหนดเป็นนโยบายเป้าหมาย แผนงานสู่แผนปฏิบัติ และแผนงบประมาณ 1.4 รัฐต้องเอาจริงเอาจังและต่อเนื่องในการแก้ปัญหาเรื่องการจัดการทรัพยากรน้ำ 1.5 ขจัดระบบอภิสิทธิ์ และการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม และโปร่งใส 1.6 หลีกเลี่ยงการโยกโอนเงินงบประมาณจากโครงการหนึ่งไปยังอีกโครงการหนึ่งโดยผู้มีอำนาจ 1.7 ต้องให้ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติการดำเนินการติดตามสภาพปัญหาภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง และสามารถแก้ปัญหาได้ทันเหตุการณ์ 1.8 สร้างจิตสำนึกให้คนไทย และเยาวชนตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรน้ำ1.9 มีการพัฒนากลไกและกระบวนการบริหารจัดการเชิงบูรณาการที่เน้นการมีส่วนร่วมจของทุกฝ่าย 1.10 มีการกำหนดนโยบายการจัดการทรัพยากรน้ำของชาติให้ชัดเจนและครอบคลุม และเป็นวาระแห่งชาติของทุกรัฐบาล 1.11 จัดทำแผนแม่บทการจัดการทรัพยากรแบบบูรณาการในระดับลุ่มน้ำโดยต้องระบุยุทธศาสตร์แผนงาน โครงการที่จะต้องทำอย่างเร่งด่วน 1.12 กำหนดมาตรการการจัดการทรัพยากรน้ำให้สอดคล้องกับศักยภาพ 1.13 รัฐควรมีการพิจารณาปรับปรุงเรื่องการจัดการกระทรวงน้ำ 1.14 ต้องมีการจัดการน้ำในลำน้ำและแม่น้ำทุกสายของประเทศ เพื่อให้เป็นลำน้ำและแม่น้ำที่ดี 1.15 ปัญหาภัยแล้งมักกระทบต่อภาคการเกษตรเป็นประจำทุกปี รัฐควรจะต้องมีการประกันภัยพืชผลการเกษตร 1.16 คณะกรรมการน้ำแห่งชาติควรมีบทบาทในการแก้ไขทรัพยากรน้ำของประเทศอย่างสม่ำเสมอและฉับไว
2. แนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภาคตะวันออก และโครงการอีสเทอร์น ซีบอร์ด คณะทำงานได้เสนอแนวทาง
ดังนี้ 2.1 มีการเชื่อมโยงแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อการจัดสรรน้ำต้นทุน ให้มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึงและสมบูรณ์ 2.2 เติมน้ำให้เต็มความจุกักเก็บของอ่าง 2.3 รัฐควรศึกษาและเร่งรัดพัฒนาการผันน้ำบริเวณใกล้เคียง เข้ามายังจังหวัดระยอง และชลบุรี 2.4 สร้างความพร้อมและเตรียมการในแต่ละสถานการณ์ร่วมกันอย่างบูรณาการ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน 2.5 มีการควบคุมความต้องการการใช้น้ำอย่างสมเหตุสมผล โดยเฉพาะช่วงที่มีแนวโน้มที่จะเกิดวิกฤติ และในอนาคต 2.6 การเก็บค่าน้ำควรสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง
2.7 ควรใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดทุกด้าน 2.8 ต้องสร้างสำนึกในคุณค่าของน้ำผู้ใช้น้ำให้เยาวชน 2.9 จัดให้มีเจ้าภาพในการศึกษาและติดตามปัญหาและสภาพโดยต่อเนื่อง 2.10 รัฐต้องมีความจริงจังและจริงใจในการศึกษาติดตามอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง 2.11 บริหารจัดการแหล่งต้นน้ำในทุกปัจจัย รวมถึงการใช้น้ำผิวดินและใต้ดินให้สอดคล้องในการเสริมสร้างแหล่งน้ำที่เพียงพอ 2.12 การก่อสร้างอาคารทุกชนิดต้องบังคับใช้อุปกรณ์ประหยัดน้ำ ต้องให้สิ่งจูงใจประหยัดน้ำด้วยการทำ Water recycling และ Water-reused 2.13 ต้องมีการเร่งรัดโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยโสมง เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนของแม่น้ำบางปะกง โดยเห็นชอบทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และ ภาคประชาชน 2.14 แก้ปัญหาวิกฤตภัยแล้งของแม่น้ำบางปะกง 2.15 ควรมีการจัดการด้านอุปสงค์ (Demand side management) ของภาคบริโภค อุปโภค ภาคอุตสาหกรรม บริการ และภาคเกษตร โดยมีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง และมีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ
อนึ่ง ที่ประชุมสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ มีมติมอบหมายให้คณะทำงานศึกษาและอนุรักษ์แม่น้ำเจ้าพระเยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลองและแม่น้ำบางปะกง ปรับปรุงรายละเอียดบางส่วน เพื่อนำส่งความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป
สื่อมวลชนหรือผู้สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักประชาสัมพันธ์
โทรศัพท์ 0-2612-9222 ต่อ 118 โทรสาร 0-2612-6919--จบ--