ตลาดหลักทรัพย์ ฯ ร่วมภาครัฐ และภาคธุรกิจไทย สร้างความมั่นใจนักลงทุนในงานไทยแลนด์โฟกัส 2008

ข่าวทั่วไป Thursday September 18, 2008 17:55 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--18 ก.ย.--ตลท.
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงการจัดงานไทยแลนด์ โฟกัส 2008 ซึ่งร่วมจัดโดยบริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด ว่าในปีนี้ได้รับความร่วมมือจากภาครัฐและผู้บริหารในแวดวงเศรษฐกิจและตลาดทุนที่ร่วมให้ข้อมูลกับนักลงทุนสถาบันชั้นนำอย่างเต็มที่ ในช่วงระหว่างวันที่ 17 — 19 ก.ย. 2551 การจัดงานนี้ถือเป็นโอกาสในการนำเสนอมุมมองและโอกาสการลงทุนในประเทศไทย พร้อมรับทราบข้อมูลล่าสุดของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน พร้อมทั้ง ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยที่มาร่วมให้ข้อมูลในงานถึง 66 บริษัท แก่ผู้ลงทุนสถาบันทั้ง 117 ราย ที่เข้าร่วมงาน ท่ามกลางปัจจัยทางการเมือง และเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในช่วงนี้
ทั้งนี้ งานไทยแลนด์โฟกัสในวันแรกได้รับเกียรติจากดร.สุชาติ ธาดาธำรงค์เวช รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ปาฐกถาพิเศษเพื่อสร้างความมั่นใจในวิวัฒนาการการเมืองของไทย และความสำคัญของการเกิดใหม่ในเศรษฐกิจเอเชีย โดยในด้านตลาดทุนนั้น มีแนวนโยบายที่จะพัฒนาทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ตลาดตราสารหนี้ และเพิ่มจำนวนผู้ลงทุนสถาบันให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มเสถียรภาพของตลาดทุนไทย นอกจากนี้ รัฐบาลมีความพร้อมที่จะลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ในวงเงินถึง 1.88 ล้านล้านบาท ระหว่างปี 2009 และ 2012 ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้เกิดการขยายการลงทุนในภาคเอกชนมากขึ้น และยังเชื่อมั่นว่าประเทศไทยยังมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
ในงานนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้นำเสนอข้อมูลความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ที่มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 48% และอัตรา Interest coverage ratio ในไตรมาสที่สองซึ่งอยู่ที่ 8.7 เท่า เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ระดับ 8.1 เท่า แสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของบจ. ในตลาดหลักทรัพย์ที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้ง นำเสนอข้อมูลการจัดตั้งกองทุนแมทชิ่งฟันด์ 12 กอง ร่วมกับบริษัทจัดการลงทุนของไทย เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรายังมีความมั่นใจในพื้นฐานของตลาดหุ้นไทย
“ภาพรวมของงานที่จัดขึ้น ถือได้ว่าตอบสนองความต้องการของสถาบันที่ต้องการรับทราบข้อมูลปัจจุบันของไทยได้เป็นอย่างดี ถึงแม้อยู่ในสถานการณ์ที่มีปัจจัยต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจและการเมืองที่ส่งผลกระทบมาอย่างต่อเนื่องก็ตาม” นางภัทรียากล่าว
ด้านนายอริยะ บุญยะรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซีแอล เอสเอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าลูกค้าที่มางานไทยแลนด์โฟกัส ใน 3 วันนี้ ถือได้การตอบรับค่อนข้างดี โดยมีผู้ลงทุนจากต่างประเทศ 34 ราย และในประเทศ 83 ราย แสดงให้เห็นว่าลูกค้าสถาบันมีความมั่นใจในไทยพอควร โดยทุกคนกล่าวคล้ายกันว่าพื้นฐานของตลาดทุนค่อนข้างดี ถ้าสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศผ่อนคลายลง กองทุนจากต่างชาติเหล่านี้ก็จะกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอีกครั้ง
ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นวิกฤติด้านความเชื่อมั่น ในขณะที่วิกฤติปี 2540 นั้นเป็นวิกฤติด้านผลการดำเนินงาน โดยขณะนี้ ประเทศไทยและประเทศขนาดเล็กยังมีผลการดำเนินงานที่เติบโต (Earning Growth) เนื่องมาจากรายได้ในภาคการเกษตร ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบของประเทศไทย ที่มีการส่งออกสินค้าเกษตรเป็นส่วนใหญ่ และจะทำให้ผู้ลงทุนกลับเข้ามาลงทุนใหม่
Mr. Andrew Stotz Head of Research บริษัทหลักทรัพย์ ซีแอล เอสเอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มี 3 วิกฤตที่ประเทศไทยเพิ่งผ่านพ้นมา ได้แก่ วิกฤติที่เกิดขึ้นทั่วโลก เป็นสิ่งที่ไทยทำอะไรไม่ได้ ในขณะที่ธุรกิจธนาคารไทยถือว่ายังมีเสถียรภาพอยู่ สถานการณ์การเมืองที่ถือว่าผ่านจุดที่มีความเสี่ยงสูงสุด และการปรับลดน้ำหนักการลงทุนของนักวิเคราะห์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในเอเชียเช่น จีน และอินเดีย มีการปรับขึ้นมาตลอดดังนั้น ต่อจากนี้ไปทิศทางการลงทุนในไทยจึงน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น หลังจากการปรับลดน้ำหนักในช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน 3 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ของประเทศอื่น ๆ ที่นักวิเคราะห์เคยให้น้ำหนักการลงทุนในระดับที่สูงจะมีแนวโน้มที่ลดลง
ด้านนายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวด้วยว่า การเตรียมการในการจัดงานครั้งนี้ใช้เวลากว่า 6 เดือน เเละได้ปรึกษากับ CLSA มาโดยตลอด โดยที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ไปโรดโชว์ในต่างประเทศ เพื่อนำเสนอผลประกอบการที่ดีขึ้นของบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 48% การจัดงานในวันนี้ ทำให้ผู้ลงทุนได้รับข้อมูลด้วยตนเอง และเห็นว่า สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
ทั้งนี้ การสัมมนาในวันที่ 18 กันยายน โดยมี นายวีรศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน โดยนายวีรศักดิ์ได้กล่าวว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยมีความสมดุลและช่วยสร้างผลกำไรได้อย่างยั่งยืน และเป็นภาคอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตได้รวดเร็วที่สุด โดย การส่งเสริมการลงทุนในภาคการท่องเที่ยวนั้น บีโอไอ ได้วางแผนแนวคิด “Area Base ” ซึ่งนำเสนอสิทธิพิเศษให้กับนักลงทุน เช่น ในเรื่องยกเลิกหรือลดภาษีนำเข้า ซึ่งมีส่วนช่วยดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในโครงการใหญ่ ๆ นอกจากนั้น รัฐบาลไทยยังดำเนินนโยบายเสริมสร้างความสัมพันธ์และการเชื่อมโยงระหว่างประเทศในเขตลุ่มน้ำโขง ซึ่งกำลังมีการก่อสร้างทางหลวงสายเอเชีย ที่เชื่อมต่อเมืองต่าง ๆ ในบริเวณทะเลจีนใต้ เข้ากับเมืองอื่น ๆ ในแถบอ่าวเบงกอล รวมทั้งจากสิงคโปร์ไปยังจีนอีกด้วย
ทางด้านดร. ศุภชัย พาณิชภักดิ์ เลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) กล่าวในหัวข้อ “ Opportunities and Challenges for Thailand — The Global Perspectives ” ว่า วิกฤติการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาอาจส่งผลต่อระบบการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้การค้าระหว่างประเทศหดตัวมากถึง 30% และอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกลดลงถึง 1 % ได้ ทั้งนี้ได้เสนอให้ มีการร่วมมือกันในภูมิภาค โดยเฉพาะเรื่องการเงินที่จะช่วยป้องกันวิกฤตที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ยังแนะว่าประเทศไทยควรกระจายธุรกิจการส่งออกไปยังตลาดอื่น นอกเหนือจากตลาดหลักคืออเมริกา เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศต้องรับผลกระทบใด ๆ พร้อมกันนี้ควรส่งเสริมนโยบายเชื้อเพลิงทดแทน พร้อมทั้งมองหาโอกาสทางการค้า ในฐานะผู้ส่งออกอาหารสำคัญ ในขณะที่ยังมีอีกหลายประเทศที่ยังต้องการอาหาร เพื่อแก้ไขปัญหาความขาดแคลนของตนอยู่

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ