กรุงเทพฯ--20 ต.ค.--ธ.กรุงเทพ
ธนาคารกรุงเทพประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 มีกำไรสุทธิ 4,233 ล้านบาท ลดลงจาก 4,391 ล้านบาทในไตรมาสก่อน เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายรายการพิเศษจากการที่บรรษัท บริหารสินทรัพย์ไทย จำกัด (บสท.) ได้แจ้งเปลี่ยนแปลงการให้ราคาหลักประกัน
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานโดยรวมของธนาคารปรับตัวดีขึ้น โดยมีรายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 1,306 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.9 เป็น 20,136 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 1,034 ล้านบาทหรือร้อยละ 12.5 ซึ่งส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 272 ล้านบาท เป็น 10,802 ล้านบาท และส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวสูงขึ้นจากร้อยละ 2.94 ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นร้อยละ 2.97
รายได้ค่าธรรมเนียมยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 จาก 3,528 ล้านบาทในไตรมาสที่ 2 เป็น 3,766 ล้านบาทในไตรมาสนี้ ส่วนกำไรจากการปริวรรตเงินตราอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัวที่ 934 ล้านบาท ดังนั้นรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยจึงเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 เป็น 5,705 ล้านบาท
ในไตรมาสนี้ ค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงเกือบทุกรายการ แต่ธนาคารมีรายจ่ายพิเศษ 2,761 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากบรรษัท บริหารสินทรัพย์ไทย จำกัด (บสท.) ได้เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ในการรับรู้มูลค่าของหลักประกันประเภทเครื่องจักร ซึ่งส่งผลให้สินทรัพย์ที่ธนาคารโอนให้ บสท. มีมูลค่าลดลง
สินเชื่อของธนาคาร ณ สิ้นกันยายน 2549 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 จากสิ้นปี 2548 เป็น 955,703 ล้านบาท โดยขยายตัวทั้งธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ ส่วนเงินฝากมีจำนวน 1,217,863 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 และสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากคิดเป็นร้อยละ 78.5 เทียบกับร้อยละ 78.9 ณ สิ้นปี 2548 ณ สิ้นเดือนกันยายน 2549 ธนาคารมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ 103,356 ล้านบาท ลดลง 5,233 ล้านบาทจากสิ้นเดือนมิถุนายน หรือลดลงจากร้อยละ 11.2 เป็นร้อยละ 10.7 ของยอดสินเชื่อรวม
ในไตรมาสนี้ ธนาคารมีค่าใช้จ่ายค่าเผื่อหนี้สูญ 1,213 ล้านบาท และ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2549 ธนาคารมีสำรองค่าเผื่อหนี้สูญทั้งสิ้น 73,702 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ทรงตัวอยู่ที่ระดับร้อยละ 71.3 ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นเดือนกันยายน 2549 เพิ่มขึ้น 4,138 ล้านบาทจากสิ้นเดือนมิถุนายนเป็น 146,849 ล้านบาท และอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงคิดเป็นประมาณร้อยละ 14.6 และเงินกองทุนชั้นที่ 1 ประมาณร้อยละ 11.7