ทียูเอฟ โชว์ผลงานโดดเด่น สวนกระแสวิกฤตอีกครั้ง ทำกำไรไตรมาส 3 พุ่งสูง 116%

ข่าวทั่วไป Monday November 10, 2008 10:23 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--10 พ.ย.--ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ ทียูเอฟ ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2551 โชว์ผลกำไรและยอดขายที่เติบโตทะลุเป้าเป็นประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมา สามารถทำกำไรสุทธิพุ่งสูง 116% พร้อมกับยอดขายรูปเงินเหรียญสหรัฐที่โต 35% และยอดขายรูปเงินบาท ที่เพิ่มขึ้น 34% ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก็เติบโตขึ้นเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้น 84% แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาพรวม 9 เดือนยอดขายรูปเงินเหรียญสหรัฐเท่ากับ 1,541.4 ล้านเหรียญสหรัฐ โตขึ้น 33% มั่นใจเป้าหมายปีนี้ถึง 2,000 ล้านเหรียญอย่างแน่นอน นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ทียูเอฟ ผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งและบรรจุกระป๋องรายใหญ่ของไทย ชี้แจงถึง ผลการประกอบการไตรมาส 3 ประจำปี 2551 ว่า “บริษัทสามารถทำรายได้จากการขายในรูปของเงินเหรียญสหรัฐเท่ากับ 544.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2550 ที่เท่ากับ 403.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะเดียวกันก็สามารถทำยอดขายในรูปของเงินบาทเพิ่มขึ้น 34% จากยอดขาย 13,723.6 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2550 มาอยู่ที่ 18,430.7 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2551 สำหรับรายได้รวมก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยมีรายได้รวมเท่ากับ 18,548.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2550 ที่มีตัวเลขเท่ากับ 13,778.6 ล้านบาท นอกจากรายได้ที่มีการเติบโตสูงขึ้นแล้ว บริษัทก็ยังสามารถทำกำไรสุทธิเติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน โดยในไตรมาส 3 ปี 2551 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 911.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 116% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงไตรมาส 3 ปี 2550 ที่เท่ากับ 422.4 ล้านบาท และสำหรับในไตรมาสนี้บริษัทยังคงมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มสูงถึง 84% จาก 610.3 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2550 มาอยู่ที่ 1,119.5 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2551 ถือเป็นอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องที่โดดเด่นมาก ยอดขายผลิตภัณฑ์ในไตรมาส 3 ปี 2551 นี้ ผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ายังคงมีสัดส่วนในการส่งออกเป็นอันดับ 1 คือ มีสัดส่วนที่ 46% รองลงมาคือ กุ้งแช่แข็ง 20% อาหารแมวบรรจุกระป๋อง 9% อาหารทะเลบรรจุกระป๋อง 9%อาหารกุ้ง 6% ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ 5% ปลาหมึกแช่แข็ง 3% และปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคอเรลบรรจุกระป๋อง 2% ส่วนตลาดส่งออกหลักที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา มีสัดส่วน 53% รองลงมาคือ สหภาพยุโรป 15% ญี่ปุ่น 10% อัฟริกา 3% โอเชียเนีย 3% ตะวันออกกลาง 2% เอเชีย 2% แคนาดา 1% และอเมริกาใต้ 1% นอกจากนี้นายธีรพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี จะเห็นได้จากผลการดำเนินงานช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา รายได้ของบริษัทมีการเติบโตเพิ่มสูงขึ้นทั้งในรูปของเงินบาทและในรูปของเงินเหรียญสหรัฐ แม้ว่าในช่วงเวลานั้นจะมีปัจจัยลบต่างๆ เข้ามา และส่งผลกระทบต่อธุรกิจ แต่บริษัทก็ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการดำเนินงานของบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง ความพร้อมของทีมงานในการประเมินสถานการณ์ และหาแนวทางรองรับกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งส่งผลต่อเนื่องทำให้ในไตรมาส 3 นี้ มีอัตราการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด จากกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น 116% รวมทั้งยอดขายในรูปเงินบาทและรูปเงินเหรียญสหรัฐที่เติบโตขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดขายในรูปของเงินเหรียญสหรัฐ ทุกผลิตภัณฑ์เติบโตเพิ่มขึ้น เช่น ปลาทูน่าบรรจุกระป๋อง 38% กุ้ง 26% ปลาหมึก 21% อาหารแมวบรรจุกระป๋อง 57% และอาหารทะเลกระป๋อง 41% นอกจากนี้ ผลจากปัจจัยลบต่างๆ ที่มีสัญญาณดีขึ้น เช่น ค่าเงินบาทที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ไม่มีความผันผวนเหมือนช่วงครึ่งปีแรก ราคาน้ำมันที่มีการปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงราคาปลาทูน่าที่อ่อนค่าลง ทำให้การบริหารต้นทุนวัตถุดิบมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ Operating Margins ในไตรมาสนี้ดีขึ้นมาก “ถ้าพิจารณาผลการดำเนินงานของไตรมาส 3 ปีนี้ ทั้งกำไรและยอดขายของเราเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น กำไรของเราโตขึ้นเป็นเท่าตัว ขณะที่ยอดขายของเราในทุกผลิตภัณฑ์และในทุกตลาดโตขึ้นเช่นเดียวกัน ถือเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่บริษัทดำเนินธุรกิจมา” นายธีรพงศ์ กล่าวเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามองภาพรวมผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือน ปี 2551 ของบริษัทจะเห็นว่า มีการอัตราการเติบโตอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก มีรายได้จากการขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐเท่ากับ 1,541.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 33% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนรายได้จากการขายในรูปเงินบาทเท่ากับ 50,638.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ขณะเดียวกันกำไรสุทธิช่วง 9 เดือนก็เพิ่มขึ้น 37% จาก 1,380.3 ล้านบาท มาอยู่ที่ 1,893.4 ล้านบาท นับเป็นผลการดำเนินงานที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก และจากการที่สภาวะเศรษฐกิจของโลกชะลอตัว เนื่องจากวิกฤตทางการเงิน สำหรับทียูเอฟนั้น บริษัทยังไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากลักษณะสินค้าของบริษัทเป็นสินค้าขั้นพื้นฐานในหมวดอุปโภคบริโภค ณ วันนี้ยังไม่เห็นสัญญาณที่ผู้บริโภคจะลดการบริโภคลง ส่วนใหญ่การบริโภคจะยังคงที่ และมีการบริโภคอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีการติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด บริษัทยังไม่มีแผนปรับกลยุทธ์ทางการตลาดหรือปรับเป้ายอดขายในขณะนี้ โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และตั้งเป้าเติบโตถึง 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐใน 4 ปีข้างหน้า คิดเป็นอัตราเติบโตโดยเฉลี่ย 12% ต่อปี นายธีรพงศ์กล่าว และเมื่อเร็วๆ นี้ ทียูเอฟได้ออกหุ้นกู้มาจำนวนหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ นายธีรพงศ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า บริษัทมีการออกขายหุ้นกู้จำนวน 2 ชุด มูลค่าโดยรวม 2,000 ล้านบาท ชุดแรกเป็นหุ้นกู้อายุ 2 ปี และชุดที่ 2 เป็นหุ้นกู้อายุ 5 ปีโดยมอบหมายให้ธนาคาร HSBC เป็นผู้จัดการในการเสนอขายแก่นักลงทุนสถาบันต่างๆ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สำหรับหุ้นกู้อายุ 2 ปีนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.7% ต่อปี โดยมีมูลค่า 1,500 ล้านบาท ส่วนหุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 5.50% ต่อปี มีมูลค่า 500 ล้านบาท ซึ่งหุ้นกู้ชุดดังกล่าวได้รับการจัดอับดับจากบริษัททริส เรทติ้ง ให้อยู่ในระดับเอบวก และมีแนวโน้มคงที่ สำหรับวัตถุประสงค์ของการออกขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ก็เพื่อต้องการรักษาความสมดุลของเงินกู้ยืมระยะสั้น (Short term funding) และเงินกู้ยืมระยะยาว (Long term funding) เนื่องจากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีการขยายธุรกิจมากขึ้น และยังจะขยายต่อไปในอนาคต ซึ่งจากวิกฤตทางการเงินที่เกิดขึ้นในขณะนี้มีความผันผวนและมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ทำให้เราต้องรักษาสมดุลดังกล่าวไว้ เพื่อให้สามารถขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ แผนกสื่อสารองค์กร บมจ. ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ โทร. 02-2980024 ต่อ 675-678

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ