เจาะลึก มุมมอง แนวคิด ตลอดจนตัวตน และจิตวิญญาณ ของ “จา พนม ยีรัมย์”

ข่าวบันเทิง Thursday November 20, 2008 11:42 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 พ.ย.--สหมงคลฟิล์ม เจาะลึก มุมมอง แนวคิด ตลอดจนตัวตน และจิตวิญญาณ ของ “จา พนม ยีรัมย์” แอ็คชั่นฮีโร่อันดับ 1 กับบทบาทแรกในชีวิตในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ และ “องค์บาก 2ภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต Q. จุดเริ่มต้นของไอเดียที่มาที่ไปกลายมาเป็นภาพยนตร์เรื่อง “องค์บากภาค2” J. จุดเริ่มต้นของไอเดียที่มาของภาพยนตร์เรื่อง “องค์บากภาค 2” เริ่มขึ้นหลังจากที่เราได้มีโอกาสนำเอามวยไทยศิลปะการต่อสู้ของไทยมานำเสนอในภาพยนตร์เรื่อง “องค์บาก 1 และต้มยำกุ้ง”โดยเป็นการนำเสนอมวยไทยในรูปแบบที่แตกต่างกันอย่าง องค์บาก 1 เราจะนำเสนอศิลปะแม่มวยไทยแบบโบราณ ส่วนในต้มยำกุ้งเราได้นำเสนอมวยไทยแบบคชสารที่เกี่ยวกับช้าง พอมาถึง “องค์บาก2” มันก็เลยกลายเป็นโจทย์ที่ต้องคิด และต้องทำการบ้านกันหนักมาก ซึ่งอาจารย์พันนากับผมเองพยายาม จะทำอย่างไรดีให้หนังมีแนวทางที่แปลก และไม่ซ้ำกัน ก็เลยนึกไปถึงโจทย์ๆหนึ่งที่ผมกับอาจารย์พันนาเคยคิด และเคยทำเป็นหนังมาเสนอกับเสี่ยเจียง(สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ) กันไว้นั่นก็คือ “คนสารพัดพิษ” ซึ่งมีคอนเซ็ปท์คือต้องการรวบรวมเอาศิลปะการต่อสู้หลากหลายรูปแบบที่มีอยู่ของแต่ละประเทศทั้งการต่อสู้ด้วยมือเปล่าและการใช้อาวุธ มานำเสนอบนแผ่นฟิล์มโดยมีหัวใจสำคัญ คือจะต้องไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติว่าเป็นไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฯลฯ นั่นเลยเป็นโจทย์เป็นการบ้านชิ้นสำคัญที่ผมได้รับมอบหมายจากอาจารย์พันนาให้ไปศึกษาข้อมูลต่างๆและเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ที่มีอยู่หลากหลายเพิ่มเติมทั้งในเรื่องของมวยไทยอย่าง มวยไทยโบราณ มวยไทยไชยา มวยไทยโคราช มวยไทยลพบุรี แล้วก็ศิลปะกังฟู ศิลปะนินจัสสึของญี่ปุ่น ไปขอคำแนะนำจากไทยฟูโด้(ซึ่งรวบรวมเอาศิลปะการต่อสู้แขนงต่างๆอย่าง ไอคิโด้ กังฟู ยูโด มวยไทย มาผสมผสานกัน) โดยมีครูบาอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศิลปะการต่อสู้ในแขนงต่างๆหลายๆท่านที่ผมได้มีโอกาสไปสัมผัส เรียนรู้ ได้ให้ความช่วยเหลือให้คำแนะนำ ถ่ายทอด แนวคิด ปรัชญา ตลอดจนแก่นแท้ของจิตวิญญาณในศิลปะการต่อสู้แขนงต่างๆจนเกิดเป็นแนวทางสำคัญที่ผมตัดสินใจว่าจะนำเอาสิ่งที่ได้รับจากครูบาอาจารย์เหล่านี้หยิบขึ้นมาถ่ายทอดในภาพยนตร์เรื่ององค์บาก2 แต่ในระหว่างนั้นผมได้มีโอกาสไปเรียนรู้ และฝึกฝนทางด้านการแสดงเพิ่มเติมจากครูแอ๋ว-อรชุมา (โค้ชแอ็คติ้งที่มีชื่อเสียงให้กับนักแสดงชั้นนำในเมืองไทย) นอกจากจะเป็นโค้ชแอ้คติ้งให้กับผมแล้ว ครูแอ๋วยังรู้ลึกถึงสภาวะจิตใจของผมแกสอนให้รู้ว่าพลังที่เกิดจากข้างในตัวตนของเรา คือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด รวมทั้งการนำพลังที่เกิดขึ้นจากข้างในมาใช้ โดยเฉพาะไอเดียที่ว่ารากฐานของเรามาอย่างไร ต้นตอของเรามาจากไหน ครูแอ๋วเองเป็นคนที่แนะนำให้ผมรู้จักกับอาจารย์ท่านหนึ่งนั่นคือ ครูเชษฐ์ (พิเชษฐ์ กลั่นชื่น-เจ้าของรางวัลศิลปาธรด้านศิลปะการแสดงประจำปี 2549) ท่านเป็นบุคคลทิ่วิเศษสุดมากๆในวงการนาฏศิลป์ไทย โดยเฉพาะเรื่องโขน การได้เจอกับครูเชษฐ์ ทำให้ได้เห็นวิถีของโขนก็เลยเกิดความรู้สึกว่า ถ้าเรานำโขนมาบวกกับศิลปะการต่อสู้แล้วนำมาถ่ายทอดออกมันจะเกิดอะไรขึ้น ก็เลยเกิดเป็นไอเดียในการคิดค้นที่จะประยุกต์ท่าการต่อสู้ ซึ่งพอได้ลองเวิร์คช็อพจริงๆโดยมีการบันทึกเป็นวิดีโอไว้ เราได้เห็นพลังของทั้งสองสิ่ง ซึ่งมันแปลก และมหัศจรรย์มากๆ เกิดเป็นศิลปะการต่อสู้รูปแบบใหม่ พูดได้ว่าเมื่อดูจากท่าทางการต่อสู้แล้ว รู้สึกว่ามันแปลกใหม่ดี แล้วพอศึกษาเพิ่มเติมกับ เสอำนาจ ซึ่งท่านเป็นครูทางสายมวยโคราชก็ได้ความรู้ว่า จริงๆแล้วท่ามวยที่เราเห็นก็มาจากโขน หรืออย่างรำกระบี่กระบอง เองก็ตาม แม้แต่การละเล่นโขนก็ยังมีการนำกระบี่กระบองมาเพื่อร่ายรำ รวมไปถึงท่าทาง ท่าทางทางการต่อสู้ต่างๆก็จะมีท่าจับ ท่าล็อค ท่าทุ่ม จากไอเดียตรงนี้ที่ครูเชษฐ์หรือท่านเสแนะนำมาทำให้เราตัดสินใจ ไปดูเรื่องของภาพสลัก ภาพจำหลักในสถานโบราณต่างๆ อย่างลายจำหลักหินแกะสลัก ซึ่งมีท่าจับของหนุมาน มีพระลักษณ์ พระรามต่อสู้ มีทั้งยักษ์ ทั้งลิง ครุฑพญานาค และอีกหลากหลายท่า ซึ่งถ้าเราเอาท่าจับเหล่านั้นมาลองผสมผสานกับศิลปะการต่อสู้ดูมันจะเกิดอะไรขึ้น ก็เลยปิ๊งไอเดียขึ้นมาเลยครับ สำหรับท่าทางการต่อสู้ที่จะนำมาใช้ในองค์บากภาค2 จุดกำเนิดที่จะเป็นศาสตร์และศิลปะแห่งการต่อสู้ใหม่ที่สุดของวงการ ที่แตกต่างจากองค์บากภาคแรก และต้มยำกุ้งอย่างแน่นอน ก็คือการเอาตัวนาฏศิลป์กับศิลปะการต่อสู้มารวมกันเกิดเป็น “นาฏยุทธ” นาฏก็คือการร่ายรำ ยุทธคือยุทธวิธีในการต่อสู้ในการใช้กลเม็ดในการใช้สติปัญญา สมาธิ อันนำไปสู่การก่อเกิดปัญญา ซึ่งถูกหลอมรวมกันเป็นนาฏยุทธ มุมมองของผมสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้คือ การที่ผมเลือกนำเสนออีกมุมหนึ่งของหนังที่เกี่ยวกับศิลปะโขนนาฏศิลป์ไทยโดยมาผนวกรวมกับศิลปะการต่อสู้ รวมทั้งรวบรวมเอาบรรดาศิลปะการต่อสู้ทุกรูปแบบมารวมไว้ด้วยกัน ภายใต้คอนเซ็ปท์ที่ว่าทุกศิลปะการต่อสู้ล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นั่นคือไม่มีการแบ่งแยกนะครับ ที่จริงแล้วผมอยากให้หนังของผมแต่ละเรื่องมันมีศิลปะอยู่ นั่นก็คือเรื่องของศิลปะการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นกังฟู ไม่ว่าจะเป็นมวยไทย กระบี่กระบอง ซามูไร เพราะว่าผมชื่นชอบศิลปะการต่อสู้อยู่แล้ว ในภาพยนตร์เรื่ององค์บากภาค 2 ก็จะนำเสนอเรื่องราวออกมาใน 2 แง่มุมนั่นก็คือผมแบ่งออกเป็น2องค์บาก บากซึ่งเกิดจากตัวละครตัวเอก เป็นบากในใจนะครับ องค์แรกเป็นองค์บากที่มีองค์ดำเป็นฝั่งดำที่ตัวละครตัวนี้ต้องเดินทางไปสู่เส้นทางของกิเลส ความโกรธ ความแค้น ความอาฆาต ซึ่งทำให้เขาได้ร่ำเรียนรู้ทางด้านศิลปะการต่อสู้ทุกอย่าง เพื่อที่จะมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายเดียวคือ การล้างแค้น เป็นหลักที่อยู่ในองค์บากแรกคือ องค์ดำ ส่วนองค์ที่สองผมมองว่าเป็นองค์ที่จะพัฒนา เก็บเกี่ยวประสบการณ์ จนได้เห็นกระบวนการในเรื่องของวิวัฒนาการเปลี่ยนจากองค์บากองค์ดำมาสู่องค์บากองค์ขาว ก็เหมือนกับลักษณะของหยินหยางที่มีฝั่งขาว และฝั่งดำก่อนที่จะไปเจอขาวก็จะเจอฝั่งดำก่อน และก็ค้นพบ ในที่นี้ซึ่งก็คือสัจธรรม เป็นแกนหลักที่เป็นหัวใจของหนังเรื่องนี้ Q. ฟังดูแล้ว น่าจะเป็นอีกหนึ่ง “จุดเปลี่ยนแปลงสำคัญ”ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ “องค์บาก” และ “ต้มยำกุ้ง” ได้สร้างทิศทางใหม่ที่ถือได้ว่าพลิกโฉมหน้าของของหนังแอ็คชั่นอย่างสิ้นเชิง J. ใช่ครับ ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ จะนำมาซึ่งสิ่งที่เรียกว่า “จุดเปลี่ยน” ที่เกิดจากการบ่ม หรือที่เรียกว่าการตกผลึก และมีวิวัฒนาการ มันเหมือนกับต้นไม้ต้นหนึ่ง ที่พอหย่อนเมล็ดพันธุ์ลงไปแล้วเกิดความเจริญงอกงาม แตกกิ่งก้านสาขา มันก็เหมือนกับตามหลักของแม่ไม้มวยไทยที่ครูบาอาจารย์ได้สอน พอมีเมล็ดพันธุ์ ก็มีแม่ไม้แล้วมันก็จะเจริญงอกงาม ถ้ามีการหมั่น ฝึกฝนอยู่เสมอ แม่ไม้ก็จะแตกออกเป็นลูกไม้ แตกกิ่งก้านสาขาได้ไม่มีวันสิ้นสุด นี่ก็เหมือนกันครับ มันเป็นจุดเปลี่ยนที่เราได้ค้นพบว่า จากคำแนะนำคำสั่งสอนที่ดีมากๆของครูบาอาจารย์ให้เราไม่ยึดติด ปล่อยให้ศิลปะตรงนี้มีชีวิตไปตามวิถีของมัน โดยพยายามรวบรวมกลั่นออกมาจากจิตวิญญาณ ในภาพยนตร์เรื่ององค์บาก2 จึงมีการนำเอาแนวคิดเรื่องวัฒนธรรมของไทยมาผสมผสานด้วยวิถีทางของตะวันออก โดยนำเอาเรื่องของความเชื่อและความศรัทธาทางด้านจิตวิญญาณ ความเชื่อทางด้านของพลังจักรวาล และสิ่งที่คนไทยนับถือ อย่างเช่นเรื่องของบรรพบุรุษ การกราบไหว้ การขอพรจากองค์ทวยเทพ ตลอดจนวิถีแห่งพราหมณ์กับพุทธมารวมเป็นหนึ่งเดียว อันเป็นวิถีแห่งศิลปะที่จะนำไปสู่เรื่องของสภาวะของจิตใจ การก่อเกิดสมาธิ บ่อเกิดแห่งปัญญา และความสงบสุขอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นเป็นหัวใจสำคัญของภาพยนตร์ Q. กลับมาครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่นักแสดงอย่างเดียว แต่ต้องรับบทบาทผู้กำกับแบบเต็มๆตัวด้วย J. ความรู้สึกก็คือ เราชอบทำหนัง เราชอบดูหนัง เราชอบดูหนังแอ็คชั่น อะไรที่เป็นหนังแอ็คชั่นผมดูหมดเลย ผมเป็นคนที่รักหนังแอ็คชั่น แต่พอได้ดูไปลึกๆ ได้ศึกษาไปลึกๆ มันทำให้มองเห็นตัวตนมั้งครับ และได้เห็นจุดเปลี่ยนของเรา เราไม่ใช่แค่แอ็คชั่นอย่างเดียวแล้ว เรามีแอ็คชั่น แต่เราก็มีความรู้สึก มีความเป็นศิลปะ นะ แต่ก่อนเราอาจจะเป็นแค่นักแสดง เราก็มีหน้าที่ดูสคริปต์ โอเค เราก็ทำการบ้าน แสดงในบทบาทของเรา เราต้องต่อสู้ยังไง ต้องแอ็คชั่นยังไง เป็นตัวละครตรงนั้น แต่ ณ เวลานี้ ผมมีโอกาสได้มาทำหน้าที่เป็นผู้กำกับตรงนี้ การที่จะกำกับได้ดี มันก็ต้องลงไปศึกษาถึงแก่นแท้จริงๆ อย่างเช่น ถ้าเราอยากจะนำเสนอเรื่องราวของศิลปะการต่อสู้แขนงต่างๆ เราก็ต้องลงไปศึกษาว่าศิลปะการต่อสู้แต่ละอย่างเป็นอย่างไร ให้อะไร หรือหนังเรื่ององค์บาก2 เรากำลังพูดเรื่องความดี ความชั่ว เรื่องกรรม ศรัทธา หรือพุทธศาสนาให้อะไร พราหมณ์ให้อะไร ความทุกข์ ความสุขมันให้อะไร เราก็เลยเลือกที่จะเป็นผู้กำกับที่จะลงพื้นที่ไปทุกจุดทุกรายละเอียดด้วยตัวเอง อย่างเราอยากนำเสนอแนวความคิดใหม่ๆ เปลี่ยนวิถีใหม่ๆเปลี่ยนมุมมองใหม่ๆ ให้แตกต่างจากองค์บากภาคแรก และต้มยำกุ้ง ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนภาพให้ออกมาเป็นหนังพีเรียด เพราะด้วยความพีเรียดทำให้เราสามารถใส่รายละเอียดทั้งในตัวของบทเอง แอ็คชั่น คาแรคเตอร์ตัวเรื่องราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิช่วลของภาพ ความเป็นศิลปะได้อย่างชัดเจน ยิ่งได้เจอกับโปรดักชั่นดีไซน์เนอร์มือ1ของประเทศไทยอย่างพี่เอก เอี่ยมชื่น ยิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่เรากำลังคิด มันเป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้น พอได้คุยกันผมเห็นความคิดพี่เอก พี่เอกได้เห็นถึงไอเดียของผม รวมทั้งพอได้ดู REFERENCE ท่ารำโขนที่ผมได้ไปศึกษามา พี่เขาไปนึกถึงฉาก แล้วก็สีสันองค์ประกอบต่างๆ เกิดเป็นแนวความคิดว่ามันน่าจะออกพีเรียดออกไปในทางขอมนะ เพราะหนังพีเรียดที่เป็นทางอยุธยาเราก็เคยได้เห็นกันมาเยอะแล้ว ส่วนทางใต้พี่อุ๋ยก็เพิ่งทำปืนใหญ่มา ทางขอมเองเรายังไม่เคยได้เห็นในภาพยนตร์เรื่องไหนก็ยังไม่มี รวมไปถึงบรรดาองค์ประกอบต่างๆทั้งคาแรคเตอร์เสื้อผ้า ทรงผม หน้าตา เปลี่ยนๆไปหมดทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องบทภาพยนตร์มีการปรับแก้ไขบทมากถึง17-18 ร่างเลยทีเดียว เพื่อให้บทลงตัวที่สุด แล้วก็มีความหมายที่สุด เพราะหนังเรื่องนี้ทุกอย่างล้วนสอดคล้องกันหมดทั้งเรื่องของพราหมณ์และพุทธ ศิลปะการต่อสู้ เรื่องของนาฏศิลป์ รวมไปถึงฉาก งานโปรดักชั่นล้วนเกี่ยวข้องกับตัวละครและตัวเรื่องทั้งหมด ซึ่งต้องไปเสาะแสวงหาแนวทางที่มันลงตัวที่สุด ได้ข้อมูลจริง แล้วถึงนำมาทำออกเป็นภาพยนตร์ Q. รู้สึกอย่างไรที่หนังแอ็คชั่นส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องบทภาพยนตร์ J. ตั้งแต่องค์บากภาคแรกแล้ว มาจนถึงต้มยำกุ้ง เราจะถูกวิพากษ์วิจารณ์มากๆในเรื่องของบท เพราะหนังแอ็คชั่นส่วนใหญ่จะค่อนข้างมีปัญหาเรื่องบท มันจึงเป็นการบ้านที่จะทำยังไงให้ตัวเรื่องกับบทและแอ็คชั่นไปด้วยกันได้ เราจึงใช้เวลาในส่วนของการทำบทนานมาก มีพี่เอก เอี่ยมชื่นเข้ามารับผิดชอบในส่วนของบทภาพยนตร์โดยผ่านกระบวนการคิดค้นจากผมกับอาจารย์พันนาในขั้นต้น โดยอาจารย์พันนาก็จะหล่อหลอมว่าอยากได้อะไร บทที่จะต้องเข้ากับศิลปะการต่อสู้ด้วย มีหลักของคำสั่งสอนของทางพระพุทธศาสนาด้วย แล้วมันจะต้องเข้ากับนาฏยุทธแบบใหม่ด้วย ที่สำคัญต้องมีเหตุมีผลมีที่มาที่ไป ขณะเดียวกันเราอยากให้องค์บากเป็นหนังแอ็คชั่นที่จะสอดแทรกปรัชญา มีแนวความคิด เพราะผมเชื่อว่าหนังแอ็คชั่นแต่ละเรื่องล้วนแล้วแต่มีปรัชญาที่เป็นแนวทางของตัวเอง ไม่ว่าเราจะดูหนังแอ็คชั่นของชาติไหน ประเทศใด เพราะฉะนั้นถ้าเราจะทำหนังแอ็คชั่น เราก็น่าจะมีอะไรที่เป็นแง่คิดให้กับคนดู ไม่ใช่แค่ว่าแอ็คชั่น แอ็คชั่น แอ็คชั่นอย่างเดียว เพราะฉะนั้นในแต่ละฉาก แต่ละช็อต ภาพในแต่ละมุมมองที่เรานำเสนอล้วนมีความหมาย ถึงบอกได้ว่าบทภาพยนตร์เรื่ององค์บากภาค2 มันผ่านกระบวนการ ผ่านจิตวิญญาณหลายอย่างมารวมกัน ทั้งองค์ประกอบภาพรวมทั้งหมดที่เห็นอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันตรงนี้ มันลงตัวมาก แล้วแต่ละตัวละครในภาพยนตร์ล้วนแล้วแต่มีความหมาย มีบทบาท มีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนมาก Q.แก่นหรือหัวใจของหนังเรื่ององค์บาก2 ที่จา พนมต้องการจะนำเสนอคืออะไร J. องค์บาก 2เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ รัก โลภ โกรธ หลง กิเลส ความดี ความเลวซึ่งจะอยู่ในจิตวิญญาณของตัวละครตัวนี้ ซึ่งมีทั้งฝั่งขาวและฝั่งดำ ก่อนที่จะไปเจอขาวก็จะต้องเจอดำก่อน ก่อนที่เราจะมีความสุข ก็จะต้องเจอความทุกข์ก่อน เพราะความทุกข์กับความสุขมันอยู่ใกล้กันอยู่แล้ว แต่ที่นี้เส้นทางตรงกลางเราจะเลือกตรงไหนเท่านั้นเอง มันเป็นเรื่องราววิถีชีวิตของเทียน เด็กคนหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นมาโดยดวงชะตาได้ถูกกำหนดไว้ว่าถ้าชีวิตเขาได้จับอาวุธ หรือได้มีความผูกพันเกี่ยวกับการต่อสู้ ดวงของเขาจะถูกชักนำไปสู่สิ่งชั่วร้ายหรือฝั่งดำ ดวงชะตานั้นลิขิตทางเดินของชีวิตให้เขาได้เดินไปตามเส้นทางที่ต้องผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านอุปสรรคนานัปการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสูญเสีย จากที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่อยากเก่งอย่างพ่อที่เป็นนักรบ กลับกลายเป็นว่าวิถีชีวิตของเขาถูกชักนำไปสู่วังวนแห่งการครอบงำจากกิเลศด้านมืด นำเขาเข้าไปเกี่ยวพันใช้ชีวิตเติบใหญ่อยู่ในชุมโจรที่คราคร่ำไปด้วยเหล่าผู้มากความสามารถในการต่อสู้หลากหลายรูปแบบ ที่นั้นเขาได้ฝึกวิทยายุทธ ฝึกศาสตร์และศิลปะการต่อสู้นานาชนิด จับอาวุธเรียนรู้ในการเข่นฆ่าศัตรู ในท้ายที่สุดเขากลับต้องจบชีวิตสู่จุดต่ำสุดคือพ่ายแพ้ เผชิญกับความล้มเหลวที่ย้อนกลับมาทำลายตัวเองและครอบครัว ก่อให้เกิดความทุกข์ และกิเลสที่เข้ามาครอบงำจิตใจ ความโกรธโมโห โทสะ บ้าและทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตอบสนองกิเลสของตัวเองคือ การฆ่า เมื่อถลำตัวลึกเข้าไป ทุกอย่างส่งผลกลับมาที่ตัวเขา ก็เหมือนกับตายทั้งเป็น ดั่งวงเวียนชะตาชีวิตที่ถูกกำหนดไว้ แต่ในระหว่างเส้นทางแห่งชีวิตที่ดำเนินไปเขาได้มีโอกาสสัมผัสกับจุดกำเนิดของตัวศิลปะที่จะช่วยหล่อหลอมชีวิตเขา ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของชีวิต เพราะจากดวงชะตาที่แข็งกร้าวของเขาทางเดียวที่จะแก้ไขได้ คือการได้หล่อหลอมจิตใจที่ดีงามด้วยตัวนาฏศิลป์โดยได้รับการช่วยเหลือจากหมู่บ้านชาวคณะโขนซึ่งมีผู้นำคือครูบัว และพิมเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเติบโตมาด้วยกันช่วยชุบชีวิต และเป็นกำลังใจฉุดรั้ง ฟื้นฟูสภาวะจิตใจของเขากลับคืนมาจากจุดต่ำสุด ก่อให้เกิดวิถีแห่งการปรับเปลี่ยนตัวเอง ปรับเปลี่ยนมุมมองและวิธีคิด จากที่อยู่เพื่อฆ่า ฆ่า ฆ่า เปลี่ยนเป็นหยุด ไม่ต่อสู้ เปลี่ยนคู่ต่อสู้ดุเดือด ห้ำหั่น มาเป็นคู่ร่ายรำ นึกถึงสิ่งที่ครูบาอาจารย์พร่ำสอน เจ้าคิดว่าอาวุธสามารถจรรโลงโลกได้เหรอ เจ้าทำไมไม่เปลี่ยน ซึ่งคาแรคเตอร์ของตัวเทียน ตัวพระเอกตัวนี้จะได้เห็นโลกทั้งสองด้านทั้งด้านมืดและด้านสว่าง นำไปสู่แนวคิดที่ว่าศิลปะการต่อสู้ที่ไม่ต้องการเอาชนะใคร แต่มุ่งเอาชนะใจของตัวเอง หล่อหลอมจิตวิญญาณด้วยตัวนาฏศิลป์ สำหรับเรื่องราวองค์บากภาค2ผมมองว่ามันเป็นวิถีของตะวันออก แน่นอนว่าเกี่ยวกับหลักของความเชื่อทางพุทธศาสนา เพราะตั้งแต่องค์บากภาคแรกมาแล้วที่ว่าเรามีความเชื่อตรงนี้อยู่แล้ว นั่นคือความศรัทธา Q.พูดถึงคาแรคเตอร์ของจา พนมใน “องค์บาก2” J.รับบทเป็นเทียนครับ คาแรคเตอร์ของเทียนก็จะเปลี่ยนไปจากองค์บาก และเปลี่ยนจากต้มยำกุ้งโดยสิ้นเชิง เพราะว่าโดยตัวเนื้องาน ตัวของหนังมีความแปลกใหม่อยู่แล้ว แล้วคาแรคเตอร์ของผมมันมีอยู่หลายด้าน คือมีมิติของบทของตัวละคร มันมีความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ข้างในจิตใจ มันจะเยอะเหมือนกัน มันมีฝั่งดำ มีขาว มีความรัก มีความแข็งกร้าว มีความเหี้ยมโหดอยู่ในตัว ซึ่งการจะถ่ายทอดออกมาผมว่าเป็นสิ่งที่ยากพอสมควร ซึ่งปกติเราเล่นหนังก็เรามีแค่แอ็คชั่นแบบว่าหน้าเดียว (ย๊าก) (ทำท่าออกมา) แต่ตอนนี้มันมีการถ่ายทอดความรู้สึกที่หลากหลายขึ้นมา นิ่งก็ได้ ผมก็เลยต้องไปศึกษา ต้องเรียนเพิ่มเติมกับครูแอ๋ว อรชุมา ครูแอ๋วก็แซวว่า เปลี่ยนใหม่ได้แล้ว แอ็คชั่นอะไรที่แบบว่า ย๊าก อะไรก็แหกปาก(หัวเราะ) ทำไมสตั้นท์เป็นอะไรกันเนี่ยะเวลามาเจอกันต้องแหกปาก ก็เปลี่ยนใหม่ได้แล้ว ก็เออนิ่งๆก็ได้ เราก็ได้มีความรู้สึกตรงนั้น ก็ได้ประสบการณ์ตรงนั้นมา จากครูบาอาจารย์ได้สอนเรา และจากครูบาอาจารย์หลายๆท่านก็ให้คำแนะนำเราอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นครูมวยไทยอาจารย์ป้อม ครูมวยดาบ อาจารย์สุรินทร์ครูมวยญี่ปุ่นอาจารย์ต๊ะ อาจารย์ชีวิน ครูมวยกังฟูนะครับ แล้วก็หลายๆท่าน แล้วก็นักแสดงอาวุโสหลายๆท่านก็ให้คำแนะนำอย่างพี่ตั้วศรัณยูว่า อันนี้มันมากไปไหม ก็มีการปรึกษากันพี่เอกสรพงษ์ พวกเขาก็จะมีคำแนะนำ อะไรที่ทำให้เราคิดและนำเสนอออกมาหลายๆเหตุผลแล้วนำมากลั่นกรอง ใช้ แล้วก็พัฒนาตรงนั้น Q.เรียนอยู่นานมั้ยสำหรับการแสดง J. ผมก็ติดต่ออาจารย์ คุยกัน ไปเรียน ไปกินข้าวฟรีบ้าง อยู่นานเหมือนกันครับเป็นปีแล้วนะครับ แล้วเวลามีปัญหาอะไรหรืออยากปรึกษาอาจารย์ก็จะโทรไปคุยตลอด อย่างซีนนี้ต้องต่อยอดกับอะไรก็โทรถามกัน หรืออย่างครูทางด้านโขนอย่างครูเชษฐ์ก็ต้องมาต่อยอดทางด้านท่านาฏศิลป์ว่ามันจะให้ความรู้สึกอะไร มีที่มาที่ไปอย่างไร ผมว่าตรงนี้ได้มาจากประสบการณ์ที่ผ่านมาได้เจอครูบาอาจารย์หลายๆท่าน ก็ได้ไอเดีย ได้ความคิดใหม่ๆมา และแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่เรารัก ที่เราศรัทธา ถ้าไม่มีความศรัทธา มันก็คงไม่เกิดสิ่งนี้ขึ้นมา เพราะศรัทธาเป็นสิ่งที่แรงกล้ามาก และทำให้เราได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง มันคือดำ ขาว มันคือจุดเปลี่ยนที่จะนำมาซึ่งการก่อกำเนิดเมล็ดพันธุ์ที่มันแตกแขนงไปไม่มีที่สิ้นสุด ตัวของศิลปะไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับที่ตัวผมได้ไปเรียนรู้หลายๆสิ่งหลายๆอย่างมาแล้วนำมาเปลี่ยนมันซะ เปลี่ยนให้เป็นอีกแบบหนึ่ง มันก็จะได้สิ่งใหม่ๆต่อยอดกันไป Q. ที่ผ่านมาคนยังไม่เคยเห็นจาใช้อาวุธ แต่ในหนังเรื่ององค์บากภาค2 จะได้เห็นศิลปะการต่อสู้ทั้งมือเปล่าและอาวุธชนิดที่ว่าครบเครื่อง J. มันเป็นสิ่งที่ท้าทายและเป็นสิ่งที่เราอยากนำเสนอด้วยครับ เพราะเราชอบศิลปะการต่อสู้หลายๆอย่างอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าผมจับกระบี่จีน ถ้าจับกระบอง3ท่อน ถ้าผมจับดาบซามูไร ถ้าผมจับดาบไทย โดยรวบรวมและผสมผสานกันมันจะเกิดอะไรขึ้น มันก็จะเกิดความใหม่ แล้วถ้าเปลี่ยนมวยไทยเป็นกังฟู เปลี่ยนกังฟูเป็นมวยไทย เพื่อต้องการนำเสนอให้เห็นว่าคนๆเดียวสามารถทำอะไรได้หลายๆอย่าง สามารถทำและนำเสนอได้หลายอย่าง มันไม่ใช่แค่โยนเข่าโยนหมัดใส่กัน ตอนนี้มีการดวลอาวุธกัน มีการปรับเปลี่ยนกันในเรื่องของอาวุธ ซึ่งสตั้นท์แมนทุกคนก็มีประสบการณ์ทางด้านนี้ ต้องมีการฝึกฝนและการเตรียมงานที่ดีครับ ต้องมาซ้อมกัน มีการซ้อมจังหวะ ซ้อมคิวเพื่อให้มันลงตัวที่สุดในการที่จะปรับเปลี่ยนท่าทาง พอถึงมวยไทยก็ต้องเป็นมวยไทย พอถึงกังฟูก็ต้องเป็นกังฟู พอถึงซามูไรก็ต้องเป็นซามูไร เพื่อให้ออกมาสารพัดพิษจริงๆ ตอนถ่ายทำกล้องก็ต้องตั้งและถ่ายให้เห็นกันชัดๆไปเลย จะไม่มีหลบมุมกล้อง เพราะเราต้องเน้นอาวุธให้ชัดๆว่าเราเล่นอะไร ให้เห็นเลย กล้องตั้ง เราเปลี่ยนอาวุธเป็นซามูไร เปลี่ยนอาวุธเป็นกระบี่จีน เราเปลี่ยนอาวุธเป็นดาบไทย ถามว่ายากไหม ผมว่ามันก็ยากหมดนะ(หัวเราะ) อาวุธทุกอย่างที่เราไปเรียนมา ที่เราไปสัมผัสมา ที่เราไปฝึกฝนมา อย่างเช่นกระบอง 3 ท่อนเราไม่เคยจับ เราก็มาฝึก ตีหัวกันหลายครั้ง (หัวเราะ)ก็ต้องมาซ้อม สตั้นท์ก็หัวแตกไป1คน เราก็เจ็บบ้างถลอกบ้าง กว่าจะได้ภาพอย่างที่เราต้องการ จังหวะต้องเข้ากัน คิวต้องลงตัวมากๆรวมทั้งเรื่องของไลน์กล้องหรือมุมภาพ ถ้าเปลี่ยนมุมภาพมันก็ไม่ได้ ก็ต้องเล่นใหม่ เหมือนLONG TAKE ใหม่ มันก็ต้องมีการซักซ้อมกันอย่างดี อย่างอาวุธสายดิ่งกว่าจะออกมาเป๊ะๆๆอย่างที่เห็นในจอ ผมก็ต้องใช้เวลาเล่นอยู่หลายรอบครับ(หัวเราะ) ผมใช้เวลาซ้อม3-4วันนะครับสำหรับลูกดิ่ง ตอนแรกก็คิดว่าจะเอาอาวุธอะไรดีที่มันแปลกๆ ที่คนยังไม่นำเสนอ แต่ก็เคยเห็นในหนังแอ็คชั่นของจีน ก็เลยอยากนำเสนอ แต่ว่าเราเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอนั่นก็คือให้โดนจริง ก็เล่นอยู่นั่นแหละ3-4-เทค 7-8เทค จนในที่สุดคือ 10 กว่าเทค ซึ่งยากนะที่จะทำแล้วก็นำเสนอให้เห็นในช็อตเดียว บางทีคิวได้ จังหวะไม่ได้ มุมกล้อง ไม่ทัน คือเราอยากให้เห็นในช็อตเดียวเลย ให้เห็นกว้างๆ ชัดเลยว่าเล่นแล้วต่อเนื่องกัน นี่แหละเป็นสิ่งที่ยาก แล้วลูกดิ่งต้องพุ่งเข้าไปโดนบริเวณจุดที่เราต้องการ (จาทำท่าควงสายดิ่งแล้วกะจังหวะให้เท้าเตะปลายแหลมของลูกดิ่งพุ่งเข้าหากลางอกของคู่ต่อสู้) Q. กำกับหนังเรื่องแรก เป็นหนังแอ็คชั่นที่ไม่ธรรมดา เพราะเป็นแอ็คชั่นสไตล์จา พนมคือ ไม่ใช่สลิง ไม่ใช้ตัวแสดงแทน แถมยังต้องเล่นไปสั่งคัท ดูมอนิเตอร์ด้วยตัวเอง แต่ที่สำคัญที่สุดคือต้องกำกับหนังแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมือชั้นแนวหน้าของเมืองไทยด้วย เป็นอย่างไรบ้าง J. องค์บาก2ถือได้ว่าเป็นหนังที่รวมเอาดาราระดับฝีมือไว้เยอะมาก ซึ่งก็ไม่เคยนึกไม่เคยฝันมาก่อนเหมือนกันว่า เราจะได้นักแสดงระดับแถวหน้าของเมืองไทยมาเล่น(หัวเราะ)มากมายขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นพี่เอกสรพงษ์, อาหนิงนิรุตติ์, พี่หนุ่มสันติสุข, พี่ตั้วศรัณยู, พี่ดี้ปัทมา, พี่หม่ำ, ต๊อก-ศุภกรณ์ น้องนางเอกจ๊ะจ๋า พริมตา,อาน้อยโสธร รุ่งเรือง,น้าหงา คาราวาน,อาจารย์ฟิลลิป,โยกเยก,แฮมเมอร์ หรือแม้แต่น้องรักอย่างเดี่ยว ชูพงษ์ เองรวมไปถึงบรรดาอาจารย์ทางด้านศิลปะการต่อสู้แขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นครูมวยไทยอาจารย์ป้อม ครูมวยดาบ อาจารย์สุรินทร์ครูมวยญี่ปุ่นอาจารย์ต๊ะ อาจารย์ชีวิน ครูมวยกังฟูนะครับ และนักแสดงอีกหลายๆท่าน ซึ่งต้องบอกว่าเป็นความตั้งใจครับที่อยากได้นักแสดงระดับคุณภาพมาถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์มในหนังองค์บากของเรา จำได้ว่าตอนที่ไปทาบทาม พี่เอก(สรพงษ์) พี่เอกครับผมมีบทอย่างนี้พี่เอกสนใจไหมครับ พี่เอกก็เลยถามว่าเอ แล้วจะให้พี่ไปเตะต่อยยังไง มันจะไม่ทำให้เราเสียเหรอ แล้วหนังของเราเองมันสไตล์แบบนี้ด้วย (หัวเราะ) พูดได้ว่าเวลาไปติดต่อจะเจอคำถามก่อนเลยว่า ให้ไปเล่นแอ็คชั่น อย่างจา พี่ต้องตีลังกาไหม ต้องโดนเตะ โดนต่อย โดนอัด ทุกคนจะมองว่า แล้วจะเข้ากับแอ็คชั่นของเราไหม เพราะปกติ อย่างต้มยำกุ้ง คู่ต่อสู้ของเรา จะตัวใหญ่ แล้วเก่งศิลปะการต่อสู้ ถามว่าหนักใจไหม หนักใจแน่นอนครับเพราะเป็นเรื่องแรกที่เรากำกับด้วย แต่ละคนเขาจะมาเล่นไหม โดยเราเริ่มจากพยายามคัดเลือกนักแสดงทั้งหมดในบ้านเราที่มีก็มานั่งไล่ดูกันเลย กางตารางรายชื่อนักแสดงที่มีกันเลย โดยมาเทียบกับบทและคาแรคเตอร์ของตัวละครแต่ละตัว ดูว่า ตัวละครตัวนี้ๆจะเหมาะกับใคร แล้วถ้าเป็นคนนี้ภาพจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งต้องบอกว่าตัวละครแต่ละตัวจะมี2 ด้าน เป็นคาแรคเตอร์ที่ค่อนข้างลึกมีอะไรอยู่ข้างในมีมิติของตัวละครที่น่าสนใจ การได้แต่ละท่านมาถือว่าเป็นสิ่งที่ผมภาคภูมิใจมาก และต้องบอกว่าดาราทุกท่านเป็นผู้ใหญ่ (หัวเราะ) เราเป็นผู้น้อย แต่ทุกคนให้เกียรติผู้น้อยอย่างเรามากๆ คือเราสามารถขอคำแนะนำ ขอคำชี้แนะทุกอย่างทุกขั้นตอนได้หมดเลย ไม่ว่าจะเป็นอาหนิง พี่เอก พี่ตั้วแต่ละคนล้วนผ่านประสบการณ์การทำงานการแสดงมาอย่างโชกโชน สำหรับนักแสดงระดับนี้ ทุกคนล้วนสุดยอดอยู่แล้ว ทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว เพียงแค่เราต้องชัดเจนและถ่ายทอดสิ่งที่เราต้องการจะถ่ายทอดออกไป Q. ถ่ายทำมาด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน โดยที่แน่นอนว่าในพาร์ทแอ็คชั่นซึ่งเป็นหัวใจหลักขององค์บากคือ เน้นรุนแรง สมจริง สารภาพมาเลยดีกว่าว่าตอนนี้จา พนมมีบาดแผลทั่วร่างตรงไหน อย่างไรบ้าง J. องค์บากภาค 2ที่เราถ่ายทำนี้แน่นอนครับว่าเราเล่นหนังแอ็คชั่น เราไม่ใช่หนังรัก(หัวเราะ) มันต้องมีเจ็บ แต่ไม่ถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล ก็มีแค่ฟกช้ำดำเขียว แตกก็มีครับ แล้วก็ข้อเท้าบริเวณข้อต่อ ซึ่งก็มีผิดคิวกันบ้างครับ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว Q. แต่จริงๆในกระบวนการทำงานในหนังแอ็คชั่นก็มีเซฟตี้ดีอยู่แล้ว J. ครับ เพราะว่าระบบการเซฟตี้เราพิถีพิถัน เพราะเราคิด เรามีประสบการณ์จากองค์บากภาคแรก ,ต้มยำกุ้ง เรามีการพัฒนาขึ้น เพราะเราเห็นจุดบกพร่องของเราตรงนั้น ทำให้เรามีการเซฟตี้ที่ดี มีการเตรียมงานที่ดี เพราะว่าสตั้นท์ ทุกคนทีมงานทุกฝ่ายจะต้องรู้ว่าเราเซฟตี้อย่างไร เราจะถ่ายมุมกล้องอย่างไร แล้วมีการเตรียมงานที่พร้อมมากยิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยให้การทำงานปลอดภัยขึ้น และลดอาการบาดเจ็บให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด แต่ก็มีนะครับเรื่องบาดเจ็บ เพราะถือว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับการทำหนังแอ็คชั่น สำหรับองค์บากภาค2 ผมมองว่ามีฉากเสี่ยงที่มันต้องใช้ ต้องแลกมาด้วยชีวิตโอกาสบาดเจ็บมีอยู่สูงมาก แค่พลาดเพียงแค่นาทีเดียวก็...... ซึ่งมีอยู่เยอะมากๆ อย่างเช่นฉากช้างที่เราวิ่งไต่กันบนหลังช้าง ถ้าสมาธิไม่ดี ระบบการเตรียมงานหรือเซฟตี้ไม่ดี ไม่มีการฝึกซ้อมที่ดีก็อาจจะพลาดได้ ซึ่งการผ่านจุดตรงนั้นมาได้ นั่นก็เป็นเพราะการเตรียมงานและระบบเซฟตี้ที่ดีมากๆ เรียกได้ว่าเราใช้ทั้งกายและจิตวิญญาณเข้าไปในหนังเรื่องนี้มากนะครับ เพราะอยากให้หนังเรื่องนี้ออกมาสมจริง เหมือนที่เรามีคอนเซ็ปท์ตั้งแต่แรกแล้วคือไม่ใช้สตั้นท์ ไม่ใช้สลิง แล้วตัวละครตัวนี้มันต้องเก่งศิลปะการต่อสู้ทุกอย่าง ต้องเล่นเอง ผมก็ต้องเข้าไปปะทะ เข้าไปเล่นให้สมจริงสมจัง ซึ่งมันก็มีเหตุการณ์อยู่ อย่างผมเองก็มีแตกทางคิ้วซ้าย ปะทะดาบกัน เพราะหนังเรื่องนี้จะเผยแพร่ไปถึงไม่ว่าจะเป็นเชิงมวยและเชิงอาวุธ แล้วที่เน้นมากๆก็คือเรื่องของอาวุธ ก็จะมีอาวุธเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างองค์บาก1และต้มยำกุ้ง อาวุธจะน้อย แต่ว่าองค์บาคภาค2จะนำเรื่องของซามูไร ดาบไทย กระบี่จีน อาวุธหลายๆอย่าง ของแต่ละประเทศทั้งไทยจีนญี่ปุ่นสารพัด ฯลฯ เข้ามาช่วยสร้างสีสันให้มันเพิ่มมากขึ้น ก็แตกคิ้วซ้ายครับ เป็นการปะทะคิวบู๊ต่อสู้ด้วยดาบไทยกัน จริงๆแล้วมันไม่ได้พลาดนะครับ แต่ระยะเข้ามาปะทะดาบกันแล้วตัวดาบก็จะมีการอ่อนตัวแล้วก็เลยมากระทบเข้าที่ปลายคิ้วก็แตกไป ก็ไม่ต้องเย็บครับ เล่นต่อไปได้ เล่นต่อเลย แล้วมีฉากในชุมโจรที่จังหวัดเลยนะครับ เกิดมาก็ยังไม่เคยถูกน็อคครับ คราวนี้จาพนมก็ถูกน็อคครับ อารมณ์เหมือนถูกน็อคเลยครับ หลับไปชั่วขณะ 3 วินาที นับ 1-2-3ถึงพื้นแล้ว เอ๊ะเราโดนไปตอนไหนนะ(หัวเราะ) โดนจระเข้ฟาดหางเข้าที่กราม ปึ้ง!! ก็อยากให้เห็นว่ามันโดนจริงนะ ชัดเจนนะ ไม่ใช่เล่นๆนะ ซึ่งเราก็ทุ่มเทกับตรงนี้มากๆนะ โดนก็โดนจริง สตั้นท์ก็โดน ผมก็โดนแบ่งๆกันไปเพื่อหนังครับ Q.จากประสบการณ์ตรงนี้ทำให้ได้เห็นตัวตนของเราเอง J. ประสบการณ์ตรงนี้มันช่วยทำให้เราได้มีโอกาสเห็นตัวเองเพิ่มมากขึ้น ว่าตัวเราเองต้องการอะไร มันเหมือนกับว่า เฮ้ย เราทำหนังเนี่ยะ เราต้องการที่จะสื่ออะไรถึงคนดู เอาความต้องการของเราก่อน พอความต้องการของตัวเรา เราชอบ พอเราชอบปุ๊บ ศรัทธามันเกิด ศรัทธามันเกิดตรงนี้ มันก็เกิดเป็นแรงบวก จากแรงบวกตรงนี้ เราก็เลยได้ถ่ายทอดอกไปให้คนดูได้สัมผัส Q.ตรงนี้ทำให้จา พนม โตขึ้นหรือรู้ถึงทิศทางที่เราจะเลือกเดินต่อไป J. แน่นอนครับ มันเหมือนกับว่าเป็นสเต็ปของมันครับ สเต็ปของมันคือการได้เรียนรู้ คือต้องบอกว่าผมไม่เก่งนะ การที่ผมไม่เก่ง มันทำให้เราได้เรีย นรู้อะไรที่เป็นสิ่งใหม่ๆ แล้วยิ่งเป็นสิ่งที่เรารักเราทำแล้วมีความสุขก็เหมือนกันศิลปะ ผมชอบนะที่ว่าทำแล้วเกิดสิ่งเจริญงอกงาม เพื่อ...เพื่อให้กับคนดู และก็จรรโลงผม หล่อเลี้ยงความสุข หล่อเลี้ยงความปิติของผมไว้ เพื่อให้ได้นำเสนอศิลปะตรงนี้ออกไป มันทำให้ผมโต และมีความคิดหลายมุมมอง ไม่ใช่อยู่แค่ตรงนี้ แต่มันสามารถเปิดโลกทัศน์ได้อย่างกว้างขึ้น Q. เหนื่อยไหม ยากไหมกับการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ครั้งแรกในชีวิต เมื่อเทียบกับการเป็นนักแสดง J. มีความรู้สึกว่าเราใช้เวลาเตรียมงาน และทำงานทั้งหมด หลายปีๆมาก จากต้มยำกุ้ง มาจนถึงตรงนี้ผมมีความภาคภูมิใจนะ อย่างหนึ่งคือแน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ท้าทาย เพราะว่าองค์บากเราทำมาดีมาก องค์บากภาคแรกและต้มยำกุ้งเกิดเป็นกระแสที่ทำให้ทั่วโลกจับตามององค์บาก2 มันก็เลยเกิดความรู้สึกว่าเราน่าจะมีอะไรให้คนดูได้สัมผัสสิ่งใหม่ๆ ก็มันเป็นความรู้สึกที่ผมมองแล้ว มันได้ประสบการณ์หลายๆอย่างนะครับจากที่องค์บากและต้มยำกุ้ง ผมเป็นแค่นักแสดง แต่ ณ เวลานี้ผมได้มากำกับเอง แล้วก็ได้มีอาจารย์พันนาได้เข้ามาร่วม และพี่ปรัชญา เป็นโปรดิวเซอร์นะครับ ผมรู้สึกว่า 3 คนได้มารวมตัวกันอีกครั้งนะครับ ยากครับ แล้วก็เหนื่อยสุดสุดครับพูดได้ว่าเลือดตาแทบกระเด็น คือหนังเรื่องนี้ผมถือว่าเอาชีวิตเข้าแลกนะครับ ทุกฉาก ทุกอย่าง เสี่ยงตายทุกฉากครับ กว่าจะออกมาได้แต่ฉากแต่ละซีน อยากให้คนไทยได้ไปดูหนังเรื่องนี้ เพราะเป็นสิ่งที่จะบอกถึงศักยภาพของหนังไทยอีกเรื่องหนึ่ง อยากให้ทุกคนได้ดูกันครับ รอดูนะครับ 4 ธันวาคมนี้ ยังไงก็ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ