เจาะลึก มุมมอง แนวคิด ตลอดจนตัวตน และจิตวิญญาณ ของ “จา พนม ยีรัมย์”

ข่าวบันเทิง Thursday November 20, 2008 11:42 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 พ.ย.--สหมงคลฟิล์ม Q.จนถึงตอนนี้แล้ว รู้สึกอย่างไรบ้างกับหนังองค์บาก2 ที่เราเหน็ดเหนื่อยมาหลายปีกำลังจะขึ้นจอให้คนทั้งโลกได้พิสูจน์กันแล้ว J.มีความรู้สึกว่าเราใช้เวลาเตรียมงาน และทำงานทั้งหมด หลายปีๆมาก จากต้มยำกุ้ง มาจนถึงตรงนี้ผมมีความภาคภูมิใจนะ อย่างหนึ่งคือมันเป็นสิ่งที่ท้าทายหละ เพราะว่าองค์บากเราทำมาดีมาก องค์บากภาคแรกและต้มยำกุ้งซึ่งกระแสตอนนี้ทั่วโลกกำลังจับตามองอยู่ มันก็เลยเกิดความรู้สึกว่าในองค์บาก2น่าจะมีอะไรให้คนดูได้สัมผัสสิ่งใหม่ๆ จากองค์บากและต้มยำกุ้ง ผมเป็นแค่นักแสดง แต่ ณ เวลานี้ผมได้มากำกับเอง แล้วก็ได้มีอาจารย์พันนาได้เข้ามาร่วม และพี่ปรัชญา เป็นโปรดิวเซอร์นะครับ ผมรู้สึกว่า 3 คนได้มารวมตัวกันอีกครั้งนะครับ จนถึงวันนี้ผมคิดเห็นว่าแน่นอนครับ อยากให้คนไทยได้ไปดูหนังเรื่องนี้กัน เพราะเป็นสิ่งที่จะบอกถึงศักยภาพของหนังไทยอีกเรื่องหนึ่งที่จะเป็นหน้าเป็นตาของประเทศชาติครับ มุมมองของผมสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้คือการที่ผมเลือกนำเสนออีกมุมหนึ่งของหนังที่เกี่ยวกับศิลปะโขนนาฏศิลป์ไทยโดยมาผนวกรวมกับศิลปะการต่อสู้ รวมทั้งรวบรวมเอาบรรดาศิลปะการต่อสู้ทุกรูปแบบมารวมไว้ด้วยกัน ภายใต้คอนเซ็ปท์ที่ว่าทุกศิลปะการต่อสู้ล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นั่นคือไม่มีการแบ่งแยกนะครับ ที่จริงแล้วผมอยากให้หนังของผมแต่ละเรื่องมันมีศิลปะอยู่ นั่นก็คือเรื่องของศิลปะการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นกังฟู ไม่ว่าจะเป็นมวยไทย กระบี่กระบอง ซามูไร เพราะว่าผมชื่นชอบศิลปะการต่อสู้อยู่แล้ว ยิ่งมาองค์บากภาค 2 ได้มีแนวทาง มีมุมมองความใหม่ที่แตกต่างกันไปเมื่อเทียบกับองค์บาก1 ทั้งในเรื่องของงานสร้างที่มีการออกแบบดีไซน์ที่มันอลังการ แล้วตัวหนังเองมันก็เป็นหนังพีเรียดย้อนยุคซึ่งทำให้สามารถนำเสนออะไรที่เกี่ยวกับศิลปะการต่อสุ้ได้มากมาย รวมทั้งในส่วนของบทภาพยนตร์เราพิถีพิถันมาก ร่าง18 แล้วครับกว่าจะออกมาเป็นหนัง มาเรียงร้อย เราต้องมาขัดเกลา อาศัยการตกผลึกซึ่งใช้ระยะเวลาที่นานพอสมควร เพื่อต้องการให้มันออกมา ตัวบทเองก็ต้องเอื้อในการต่อสู้ ในมุมมองของผมคือศิลปะการต่อสู้จะถูกถ่ายทอดออกมาตามความรู้สึกของบท ตามเรื่อง ตามคาแรคเตอร์ของตัวละคร ในภาพยนตร์เรื่ององค์บากภาค 2 ก็จะนำเสนอเรื่องราวออกมาใน 2 แง่มุมนั่นก็คือผมแบ่งออกเป็น2องค์บาก บากซึ่งเกิดจากตัวละครตัวเอก เป็นบากในใจนะครับ องค์แรกเป็นองค์บากที่มีองค์ดำเป็นฝั่งดำที่ตัวละครตัวนี้ต้องเดินทางไปสู่เส้นทางของกิเลศ ความโกรธ ความแค้น ความอาฆาต ซึ่งทำให้เขาได้ร่ำเรียนรู้ทางด้านศิลปะการต่อสู้ทุกอย่าง เพื่อที่จะมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายเดียวคือ การล้างแค้น เป็นหลักที่อยู่ในองค์บากแรกคือ องค์ดำ ส่วนองค์ที่สองผมมองว่าเป็นองค์ที่จะพัฒนา เก็บเกี่ยวประสบการณ์ จนได้เห็นกระบวนการในเรื่องของวิวัฒนาการเปลี่ยนจากองค์บากองค์ดำมาสู่องค์บากองค์ขาว ก็เหมือนกับลักษณะของหยินหยางที่มีฝั่งขาวและฝั่งดำก่อนที่จะไปเจอขาวก็จะเจอฝั่งดำก่อน และก็ค้นพบ ในที่นี้ซึ่งก็คือสัจธรรม เป็นแกนหลักที่เป็นหัวใจของหนังเรื่องนี้ Q.ในหนังเรื่ององค์บาก2จาได้นักแสดงระดับฝีมือมารวมตัวกันอยู่ในหนังเรื่องนี้เยอะ แล้วก็มีตัวละครตัวหนึ่งซึ่งสำคัญมากๆ เป็นคู่ต่อสู้ที่เป็นคู่ปรับซึ่งถือได้ว่าทัดเทียมพอฟัดพอเหวี่ยงกับตัวจาในเรื่อง เห็นบอกว่าในใจมีเพียงตัวเลือกเดียวเลยจะเป็นคนอื่นไปไม่ได้น้องจากน้องรักคนนี้เดี่ยว ชูพงษ์ J.ที่จริงแล้วภาพยนตร์เรื่ององค์บากภาค2 เรามีคาแรคเตอร์ที่เป็นคู่ต่อสู้เยอะเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นในชุมโจรบ้างก็มีตัวละครที่เก่งทางด้านศิลปะการต่อสู้หลายอย่าง อย่างเช่นจีน ,ญี่ปุ่น ฯลฯที่ต้องมาปะทะกับผมนะ แล้วก็มีอยู่คาแรคเตอร์หนึ่งซึ่งผมมีความรู้สึกนึกถึงน้องที่เราเคยเรียนมาด้วยกัน เรียนสถานที่เดียวกัน สถาบันเดียวกัน ศิษย์อาจารย์เดียวกันนั่นก็คือเดี่ยว ชูพงษ์ ก็เลยคิดว่าน่าจะมีโอกาสที่เราจะได้มาร่วมงานกัน ก็เลยเป็นที่มาของการสร้างคาแรคเตอร์พิเศษตัวนี้ขึ้นมาสำหรับเดี่ยวโดยเฉพาะ โดยให้เขารับบทเป็นอีกา (หัวเราะ) อีกาพญายม ซึ่งก็คือภูติสางกา แน่นอนว่ามีเทคนิคการต่อสู้ที่แพรวพราวในหนังเรื่องนี้ เพราะ2คนเมื่อได้มาเจอคิวบู๊กันละก็รับรองบรรลัยครับ(หัวเราะ) แต่จะบรรลัยขนาดไหนละก็ต้องมาดูกัน สำหรับลุคส์ของเดี่ยวนะครับที่ผ่านมาก็จะเป็นพระเอกที่เก่งทางด้านมวยไทย เก่งทางด้านแอ็คชั่นนะครับไม่ว่าจะเป็นปืนใหญ่จอมสลัด ,คนไฟบิน ,เกิดมาลุย แต่สำหรับองค์บากภาค2 เปลี่ยนครับเปลี่ยนคาแรคเตอร์ซึ่งเดี่ยวเขาก็ยอมนะครับ เฮ้ยรุ่นพี่รุ่นน้องให้มาเจอกันหน่อย ประมาณว่าJ&J แจ็คกี้ ชาน เจอกับเจ็ต ลี ก็มีมาแล้ว เดี่ยวจาก็น่าจะมี บ้างนะ(หัวเราะ) ก็สนุกๆกันครับ เพราะว่าตรงนี้มันก็เป็นสิ่งที่เราต้องการด้วย สิ่งที่เราปรารถนา อยากร่วมงานด้วยกัน อยากร่วมงานกับน้อง ผมก็เลยมีการดีไซน์แล้วก็มีการเปลี่ยนคาแรคเตอร์ของเขาเรียกว่าเป็นคนที่ฝึกเรียนวิชาการต่อสู้ทางขอมจนเก่งกล้า เนื้อตัวมีลงอักขระ และมีเพลงมวยที่มันแปลกประหลาด จะไปทางจีนก็ไม่ใช่ ทางไทยก็ไม่ใช่ ซึ่งเราประดิษฐ์และคิดค้นออกมาให้เดี่ยวกับคาแรคเตอร์นี้โดยเฉพาะ ส่วนในเรื่องของแอ็คชั่น ผมว่ามันเป็นการดีไซน์เพื่อให้ดูออกมาสวยงาม ซึ่งก็มีการปรึกษาครูมวยทางด้านศิลปะการต่อสู้หลายๆท่าน และอีกอย่างก็คือคาแรคเตอร์ของเดี่ยว อยากให้ภาพเปลี่ยนไป คือภาพของเขาต้องไม่ใช่มวยไทยแล้วละ ต้องเป็นวิทยายุทธที่เหนือชั้นขึ้นไปอีก เกินจินตนาการขึ้นไปอีก ถึงจะเป็นคาแรคเตอร์ที่เหี้ยม แต่ภาพที่ออกมาต้องดูดีด้วย เท่ห์ด้วย แล้วเดี่ยวเขามีพื้นฐานตรงนั้นอยู่แล้ว เดี่ยวเขามีความเก่ง และมีความสามารถทางด้านศิลปะการต่อสู้หลายอย่างอยู่แล้ว เพียงแค่เรามาจับจุดที่เป็นคาแรคเตอร์ตรงนี้ออกมา ผมก็เลยมองว่าคิวแอ็คชั่นบู๊ของเดี่ยวน่าจะเป็นอะไรที่มันผาดโผน โจนทะยาน เป็นคู่ปรับที่น่าดูที่สุดแล้ว ไม่ได้ ๆงานนี้พี่กับน้องต้องมาเจอกันหน่อย เราจะถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้แบบใหม่ออกมาอย่างผมเป็นท่าครุฑ ส่วนเดี่ยวเป็นอีกาเราลองมาประสานกันเพื่อให้หนังมันออกมาเป็นอะไรที่แปลกใหม่ ที่ไม่ใช่มวยไทยอย่างเดียว Q.เรื่องราวของหนัง J.ตัวเนื้อเรื่องเกี่ยวกับตัวละครตัวหนึ่งซึ่งเป็นตัวเอกที่ชื่อว่าเทียนรับบทโดยใครไม่รู้(หัวเราะ)จา พนมนะครับ เป็นเรื่องของโชคชะตาและวิบากกรรมที่ตัวละครตัวนี้ต้องเผชิญ หลายคนเลยเปรียบเทียบว่าองค์บากมาจากคำว่าวิบากกรรม(หัวเราะ) ดวงชะตากำหนดไว้ว่าเมื่อใดที่เขาจับต้องอาวุธจะชักนำเขาไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งชั่วร้าย ต้องพบกับความสูญเสีย ก็เลยถูกส่งตัวให้ไปอยู่กับคณะโขน ได้เรียนรู้กับครูที่สอนนาฏศิลป์สอนโขนนั่นก็คือครูบัว(นิรุตติ์)และได้เจอกับพิมเป็นนางเอก ซึ่งรับบทโดยน้องจ๊ะจ๋าพริมตา แล้วที่นี่เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับโขน และวิชานาฏศิลป์ซึมซับเข้าไปในจิตใจ นอกเหนือจากที่เคยคิดเคยฝันมาตลอดชีวิตว่าตัวเองอยากเก่ง อยากเป็นทหารเป็นนักรบเหมือนพ่อ แต่แล้วชีวิตก็ผกผัน พบกับความสูญเสียครั้งสำคัญนั่นคือพ่อแม่บังเกิดเกล้า ทำให้ชะตาชีวิตผกผันจับผลัดจับผลูไปตกอยู่ในชุมโจรโดยการรับเลี้ยงของเชอนังหัวหน้าชุมโจร ซึ่งรับบทโดยพี่เอกสรพงษ์ ชาตรี ณ จุดนั้น เขาได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นมวยไทย กังฟู ซามูไร ดาบ กระบี่กระบอง อาวุธ ทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นจุดที่ทำให้เกิดด้านมืดเกิดขึ้นกับตัวเทียน เพราะหลังจากที่เขาได้เรียนรู้และนำเอาศิลปะการต่อสู้ทุกสิ่งทุกอย่างมารวมอยู่ในตัวเขานั่นก็คือพระยาราชเสนาซึ่งแสดงโดยพี่ตั้วศรัณยู วงษ์กระจ่าง มันชักนำให้เขานำสิ่งที่เรียนรู้มาทั้งหมดเพื่อนำไปสู่เป้าหมายเดียวนั่นคือการล้างแค้น เป็นเหตุให้ชะตากรรมของเขาไปสู่ด้านมืด สิ่งที่เป็นฝั่งดำ สิ่งที่มันกร้าวแข็งที่สุด Q.ใหญ่ทั้งฉากและมากไปด้วยสารพัดโลเกชั่นที่จะปรากฎอยู่ในหนัง J.โลเกชั่นที่เราเลือกก็คือต้องพิถีพิถันเหมือนกันนะครับ ต้องให้ดูออกมาในจอภาพยนตร์แล้วคนดูรู้สึกว่า เอ๊ะที่ไหนนะเนี่ยะ คนต้องตะลึง อย่างเช่นเราไปถ่ายในหลายๆที่ทั้งเหนือออกตกใต้ อย่างฉากชุมโจรอยู่ที่จังหวัดเลย ก็จะเป็นรูปลักษณะที่เป็นภูเขา เมฆหมอกอะไรที่สวยงาม ลักษณะคล้ายๆเมืองจีนนะครับ ก็เรียกกันว่าคุนหมิงเมืองไทย เราอยากนำเสนอเกี่ยวกับการท่องเที่ยวไทยด้วย โลเกชั่นไทย เพราะผมรู้สึกว่าโลเกชั่นเมืองไทยสามารถให้คนต่างชาติได้มาเห็นแล้วรู้สึกว่าเมืองไทยก็มีนะ มีแหล่งท่องเที่ยวที่มันน่าสนใจ สวยงามมากๆ เพราะในหนังที่เราถ่ายทอดออกมาก็ยังรู้สึกเลยว่ามันสวยงามจริงๆ ไม่ต้องไปดูต่างประเทศนะครับ ที่เมืองไทยก็มี อย่างที่เมืองเลยฉากชุมโจร มีลักษณะเป็นหุบเขาล้อมรอบ แล้วมันหายากมากๆเลยนะครับ เดิมพื้นที่ตรงนี้ที่เราใช้ถ่ายทำจะเป็นป่ารกเลยนะ แต่พอกองถ่ายเข้ามาก็มาจัดการ ออกมาสวยงามอย่างที่เห็น แล้วมีภูเขาล้อมรอบโอบกอดทั้ง4ทิศ ตรงตามลักษณะของชุมโจรที่มีภูเขาล้อมรอบ หรืออย่างที่ภาคใต้ที่เราได้มีโอกาสไปถ่ายทำคือเทือกเขาพนมเบญจา เป็นวนอุทยาน เราใช้ถ่ายทำสำหรับฉากอาศรมที่ตัวละครที่ผมแสดงต้องฝึกสมาธิและร่ายรำ น้ำตกใสมาก สูงและสวยมาก ซึ่งต้องไปชมในภาพยนตร์ ส่วนที่ระยองความต้องการของเราคือต้องการสร้างเมืองสร้างพระราชวังที่มีลักษณะเป็นพื้นที่ยกระดับสองชั้น ทางโปรดักชั่นดีไซน์ก็ไปดูพื้นที่จนได้พื้นที่ที่เป็น2สเต็ปอย่างที่ต้องการ โดยงานสร้างของเราต้องเน้นที่ความแข็งแรงใช้งานได้จริง ต้องมีฐานที่แข็งแรง เพราะต้องมีฉากที่ต้องใช้นักแสดงเป็นร้อยๆอยู่บนเซ็ทด้วย หลังจากนั้นเราก็จะต้องมีการเผา และต้องมีการถล่มงานสร้างของฉากนี้ด้วย เป็นฉากพระราชวังที่ถือว่าอลังการมากๆ และมีการถ่ายทอดออกมาได้ดีในฉากที่เราต้องการนำเสนอความเป็นนครแห่งเทพ นครที่ลักษณะงานสร้างเป็นหินสลัก ซึ่งยังไม่เคยปรากฎที่ไหนมาก่อน สำหรับฉากปล้นแพเราถ่ายทำที่เขาใหญ่ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นฉากที่ถ่ายทำยากมากฉากหนึ่ง เพราะมีเรื่องของจังหวะ เรื่องของรายละเอียดปลีกย่อย กว่าจะแต่งตัวเสร็จทั้งตัวแสดงหลัก และตัวประกอบเอ็กซตร้า ที่ต้องมาเข้าฉาก แล้วสตั้นท์ก็ต้องมีการเพ้นท์ แล้วก็ยากครับ เพราะว่าในซีนนี้เป็นซีนแอ็คชั่น โลเกชั่นเป็นป่าและมีลำธารยาว ก็ค่อนข้างแปลกตา เพราะมันเป็นพื้นที่ที่เป็นลำธารทอดยาว แล้วก็ต้องมีแพที่ต้องล่องอีกถึง3-4แพ มีพ่อค้าเป็นชาวต่างชาติ Q.ไฮไลท์ฉากแอ็คชั่นในองค์บากภาค 2 J.ในหนังเรื่ององค์บาก2 จะมีฉากปล้นทั้งหมด 3 ฉากใหญ่ๆด้วยกัน คือ1 ฉากปล้นแพ ,2ฉากกระโจม,3ฉากปล้นกองเกวียน ก็จะเป็นกองยาว ซึ่งการปล้นแต่ละครั้งก็จะแตกต่างกันไปที่ไม่ซ้ำกัน แอ็คชั่นไม่ซ้ำกัน โลเกชั่นไม่ซ้ำกัน รวมไปถึงยุทธวิธีในการปล้นก็ไม่ซ้ำกัน อย่างที่บอกว่าการเล่าเรื่องของเราทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไป อย่างการปล้นแพ เรียกว่าเป็นกลยุทธคนผีหลอน ทำให้ตกใจแล้วโผล่มาจากน้ำบ้าง เกิดจากน้ำบ้าง โผล่มาจากเถาวัลย์บ้าง ส่วนการปล้นกองเกวียนที่เป็นไลน์ยาว จะเป็นกลยุทธในเรื่องของเขื่อนกำบัง มีซุ่มแล้วก็โจมตี โผล่ออกมาจากรังไข่มดแดงใหญ่ๆ ซึ่งดูวิช่วลของภาพแล้วจะค่อนข้างอลังการ ส่วนปล้นในกระโจมที่เราถ่ายในตอนกลางคืนก็จะมีสีสันที่ออกมาในทางลึกลับ และซ่อนเร้น ใช้วิชากลยุทธเขื่อนกำบัง กลผีหลอนเข้าไปแล้วก็มีสัตว์แปลกๆเข้ามา โดยไม่ต้องใช้คนเข้าไปจู่โจม แต่ใช้กลยุทธ์อย่างภัยรอบด้าน อย่างเช่นงู ตะขาบ เกิดเป็นการสร้างสีสันตรงนั้นออกม ที่จริงแล้วมันยากทุกฉากนะ แต่ที่เน้นหนักสุดๆก็คงเป็นฉากจบ คือเราวางไลน์ของแอ็คชั่นในหนังโดยแบ่งเป็นสเต็ป สเต็ปของแอ็คชั่นก็จะมีกราฟของมัน เมื่อดำเนินเรื่องไปกราฟแอ็คชั่นก็จะหนักขึ้นเรื่อยๆ จะมีความแปลกไม่ซ้ำกัน อย่างเช่นฉากค้าทาส ตัวเทียนไปเจอโจทย์เก่าคือยักษ์ขมุ นำแสดงโดยพี่แฟรงก์(คนไฟบิน) ซึ่งผมก็จะใช้การต่อสู้ที่มันหลากหลายซึ่งเป็นการเปิดตัวของผมในการปล้นที่ดูมีลุคส์ใหม่ ที่ดูมีคาแรคเตอร์เปลี่ยนไปคือมีจิตใจที่ต้องการล้างแค้นอย่างเดียว มาเพื่อจัดการ ในซีนนี้ก็จะเห็นการใช้ความสามารถในการต่อสู้จากอวัยวะต่างๆในร่างกายในการต่อสู้ และเพลงเมา คือเมาเหล้าแล้วออกอาวุธหลายๆอย่าง อย่างเช่นมวยไทย มวยจีน เน้นความสามารถทางด้านร่างกายเป็นหลัก และที่มาหนักที่สุดที่เป็นไฮไลท์ ซึ่งเป็นฉากจบ คือในชุมโจรก็จะเป็นสารพัดพิษเลย รวมสุดยอดของแอ็คชั่น ศิลปะการต่อสู้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นมวยไทย มวยจีน อาวุธไทย อาวุธจีน ซามูไร ฯลฯ ขนมาให้หมด โดยที่มีไฮไลท์คือการต่อสู้กับอีกาพญายมบนหลังช้าง Q.มีฉากไหนที่อยากพูดถึงไหม J.ตอนนี้อยากให้มีฉากเลิฟซีนครับ(หัวเราะ) ยังไม่มีฉากเลิฟซีนเลย อย่างที่ผมบอกละครับว่าในหนังเรื่ององค์บากภาคนี้ สิ่งที่คนดูจะได้เห็นคือความเปลี่ยนแปลงไปของคาแรคเตอร์จา พนม ซึ่งมันมีอยู่หลายแง่มุม มีข้างในเยอะ เรื่องของความอ่อนไหว เรื่องของความแข็งกร้าว มันก็จะบวกรวมกัน อย่างเช่นพอเจอนางเอกก็จะเป็นอีกอารมณ์หนึ่ง ซึ่งมันจะมีความซอฟท์ มีความแข็งอยู่ในตัวคนเดียว ก็เหมือนฉากๆหนึ่งที่ไปลอบสังหารพระยาราชเสนา ก็เปรียบได้กับหน้ากาก หน้ากากที่มีหลากหลายคาแรคเตอร์ อย่างเช่นสิงห์ ซ่อนอารมณ์ไว้ภายใต้หน้ากาก ซ่อนอารมณ์ไว้ภายใต้ครุฑ ที่มองพระยาราชเสนาอย่างที่มีความแค้นอยู่ภายใน แต่เวลามองนางเอก ก็จะมีความอ่อน มีความรู้สึกว่าเราอ่อนไหว ก็จะมีการแยกกันระหว่างแข็งกับอ่อน Q.เราจะได้เห็นจา พนมกำกับฉากที่เน้นอารมณ์ทางด้าน นาฏศิลป์ ศิลปะร่ายรำ อันแสนวิจิตรด้วย J.ที่จริงผมชอบนะ ผมชอบการรำ ผมชอบนาฏศิลป์มากๆ พอผมได้ไปสัมผัสจริงๆแล้ว มันละเอียดอ่อนมาก ๆ เห็นชัดเลยว่า มันมีความสุขนะกับการได้ทำ กับการได้ร่ายรำ ได้เห็นหน้าตา ได้เห็นสรีระที่เห็นแววตาของเขาที่ได้สื่อออกมา ซึ่งผมชอบอยู่แล้ว ผมขอเติมตรงนี้หน่อย ซึ่งไปปรึกษากับครูเชษฐ์ทางโขน แล้วก็พี่นาย(ครูฝึกซ้อนการรำของนางเอกจากครูเล็กภัทราวดี) ที่ได้มาออกแบบตรงนี้ และก็ได้ดูว่าเราจะนำเสนอออกมาอย่างไรบนแผ่นฟิล์มให้ออกมาดูสวยงาม ยิ่งองค์ประกอบหลัก องค์ประกอบของฉาก งานสร้างที่มันใหญ่ๆ มาเจอกับการรำตรงนี้ออกไปแล้ว มันทำให้เป็นบวก พลังตรงนี้ที่ออกมาดูแล้วมันมีเสน่ห์มาก คือเหตุการณ์ในเรื่องจ๊ะจ๋าเขาถูกเชิญตัวไปเพื่อที่จะไปรำบวงสรวงเทวเสาวรีย์พญาครุฑซึ่งเป็นตัวแทนของพระยาราชเสนานั่นคือพี่ตั้วศรัณยู ในท่ารำมันจะบ่งบอกถึงตัวของตัวพิม ที่ได้เรียนการร่ายรำตัวนาฏศิลป์ออกมา ซึ่งตอนแรกตัวน้องจ๊ะจ๋าเขาจะรำออกมาเหมือนกับการให้ท่ามากเกินไป เราก็เลยเบรคไว้ คือเราก็ต้องมานั่งคุยบอกสิ่งที่เราต้องการกับตัวน้องให้รู้สึกว่าพระยาราชเสนาเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก เราคือเป็นผู้น้อย แม้กระทั่งสบตาก็ยังไม่กล้าสบตา เลยให้นึกไปถึงการรำที่เคยรำกับเทียนตอนเด็ก มันก็เลยออกมาว่าอยากให้มีใครสักคนหนึ่ง อยากให้พี่เทียนมาอยู่ใกล้ๆ ได้ฟีลอารมณ์แบบเด็กๆอยากให้เขาเห็นตรงนี้ อยากให้เขามาจับมือเหมือนเคย ซึ่งอามรณ์ตรงนั้นก็จะพาไป แล้วตัวจ๊ะจ๋าเขามีตรงนี้อยู่แล้ว มันก็เลยเป็นสิ่งที่ง่าย มีฉากที่จาต้องโชว์นาฏศิลป์การร่ายรำด้วย จริงๆฉากนี้จะเป็นฉากที่เล่าเรื่อง นำไปสู่เหตุการณ์สำคัญคือฉากลอบสังหาร มีเหตุและผลให้ตัวละครต้องร่ายรำ โดยแต่ละท่าก็จะสอดแทรกแง่มุมของเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นสอดคล้องกับความลึกลับ ความสวยงาม ของท่าทาง ซึ่งก็จะมีท่าที่แตกต่างกันไปด้วย อย่างผมจะรำครุฑ ผมจะรำราชสีห์ แล้วก็รำพระ ก็จะเป็นอารมณ์ของความโกรธแค้นที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากตรงนั้น ก็จะมีจังหวะของกลองเข้ามา แค่กลองนะครับ แล้วก็จังหวะของการตี การเล้าโลมด้วยหน้ากาก ด้วยชุด และด้วยสายตาที่ผ่านหน้ากากไปมองพระยาราชเสนา การรำจะเป็นการนำหลายๆท่ามาผสมผสานครับ เพราะเทียนเขาจะเรียนนาฏศิลป์ และเขาเรียนทางด้านการต่อสู้ และเขาก็เอามาบวกกัน แล้วก็ถ่ายทอดออกไปในอารมณ์ที่โกรธแค้นเข้ามา การผสมผสานอย่างเช่นการเปลี่ยนหน้ากากจากพญาครุฑที่ยิ่งใหญ่ แล้วสิงห์ก็จะเป็นการซ้อนในกงเล็บ เป็นพลังอำนาจที่เห็นถึงการที่จะจู่โจมคู่ต่อสู้ พญาครุฑเนี่ยะเป็นการมองให้เห็นถึงตำแหน่งที่จะจัดการผู้คนอย่างไร เนี่ยะทุกอย่างต้องมีที่มาที่ไป ไม่ใช่รำอย่างเดียว อย่างเราจะรำตรงนี้ เพราะเราจะจุดระเบิดตรงนี้ เราจะวางระเบิดตรงนี้ เราจะถล่มตรงนี้ แล้วเขาเผลอตอนไหน แล้วเราจะจัดการเขาตรงไหน มันก็จะมีอารมณ์ของมัน หรือถ้าพูดอีกมุมหนึ่ง ในกรณีที่เป็นมุมมองทางด้านพระยาราชเสนานะ มีหลายบทบาทมีหลายหน้ากาก ตัวเขาจะเปรียบเสมือนหน้ากาก ตัวครุฑก็คือตัวแทนของพระยาราชเสนา การเปลี่ยนหน้ากากเป็นสิงห์ เป็นอะไรก็เปรียบได้กับพระยาราชเสนาที่มีหลายบทบาทที่จะอยู่ในตัวเขา แต่ตรงนั้นในหน้าพระ ผมไม่ได้นำเสนอออกไป มันก็เลยมี 2 หน้านั่นก็คือหน้าครุฑกับราชสีห์ คือมันลึกซึ้งมากมันจะเกี่ยวจะโยงใยไปกับบท Q.มุมมองของผกก.ที่มีต่อนักแสดง J.สำหรับพี่เอกสรพงษ์ ชาตรี กับบทเชอนัง เล่นเป็นพ่อบุญธรรมเนี่ยะ จำได้ติดตาเลยโดยเฉพาะในฉากไฮไลท์สำคัญของตัวเทียนกับเชอนังนะครับ ดูจากจอมอนิเตอร์พี่เอกแกถ่ายทอดออกมาด้วยแววตานิ่งๆแล้วในวินาทีนั้นต้องเปลี่ยนอารมณ์ทันที มีความรู้สึกเห็นแล้วขนลุก เปลี่ยนอารมณ์จากความที่โหดร้ายแล้วเปลี่ยนอารมณ์มาเป็นซอฟท์ในช็อตเดียว คือเล่นแล้วเปลี่ยนอารมณ์คือใช่เลย เป็นฉากที่เทียนถูกจับตัวได้ ซึ่งพี่เอกถ่ายทอดอารมณ์ของฉากนี้ออกมาได้ตรงกับสิ่งที่ผมอยากได้มากๆสำหรับตัวเชอนังที่มี2คาแรคเตอร์ 2ความรู้สึกอยู่ในตัวละครตัวนี้ มีทั้งความเป็นพ่อและความเป็นเชอนัง คือเขาเป็นมหาโจรที่ถ่ายทอดและสอนศิลปะการต่อสู้ทุกอย่างให้กับตัวเทียน และอีกมุมหนึ่งเขาอยากให้เทียนเป็นผู้นำ คือด้วยความรู้สึกของตัวเขาเนี่ยะเขาเป็นโจรอยู่แล้วนะ แต่เขาก็มีความรัก เหมือนขาดอะไรบางอย่างในชีวิต โดยที่มีตัวเทียนมาต่อเติมตรงนี้ก็คือได้เป็นลูกบุญธรรม มีความแข็งและความอบอุ่น มีความซอฟท์ๆเข้ามา แล้วพี่เอกเรื่องของการแสดงหายห่วงเลยครับ เพียงแค่บอกความต้องการของเราเท่านั้นเอง อาหนิงนิรุตติ์ ศิริจรรยา พอได้คุยกับอาหนิง ทีแรกกะจะให้เขาเล่นเป็นโจร เล่นเป็นเชอนัง คือเห็นอาเขาเล่นหนังเป็นตัวร้ายเยอะมาก แต่พอได้สัมผัส ได้คุย เฮ้ยไม่ใช่ ยิ่งได้มีโอกาสไปที่บ้านของอาหนิง รู้เลยว่าอาหนิงเป็นคนที่มีอะไรอยู่ข้างใน มีความรักธรรมชาติ ยิ่งบวชด้วยแล้ว อยู่กับธรรมชาติ แล้วมีเรื่องข้างใน สมาธิ การพูด น้ำหนัก เสียง การมองได้เลย คนที่สอนเทียนตั้งแต่เด็ก เรื่องสมาธิ เรื่องจิตใจ การใช้ชีวิตและเรื่องของความรู้สึก ภาพนี้เห็นแล้วรู้สึกอบอุ่น ผมก็เคยเจอครูบาอาจารย์ที่สอนเราเหมือนอย่างอาหนิง ก็ใช่เลย อาหนิงสามารถถ่ายทอดครูบัวตรงนี้ออกมาได้ แล้วตัวนี้ก็มี2คาแรคเตอร์เหมือนกันกับเชอนัง แต่แตกต่างที่ว่าครูบัวเป็นอีกฝั่งหนึ่ง และตัวครูบัวเองก็เคยผ่านการเป็นนักรบมาก่อน จากนักรบก็กลายมาเป็นนักบุญ ถือได้ว่าครูบัวเป็นพ่ออีกคนหนึ่งของเทียน ซึ่งหนังเรื่องนี้เรามีพ่อถึง 3 คน พ่อคนที่หนึ่งก็คือพ่อสิงหเดโช นั่นคือพ่อผู้ให้กำเนิดของเรา เรามีความฝันอยากเป็นทหาร อยากเก่งเหมือนพ่อ ยึดเอาพ่อเป็นแบบอย่าง พ่อ2คือเชอนัง ชุบชีวิตเรา ให้เราได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ที่มันหลากหลาย และสอนยุทธวิธีการเอาตัวรอด การที่จะเป็นผู้นำ การที่จะมีความแข็งกล้า แข็งแกร่งขึ้นมา และพ่อคนที่3นั่นคือครูบัว ซึ่งจะเป็นผู้สอนให้รู้จักความอ่อนและความแข็งอยู่ในอันเดียวกัน คือให้เรียนรู้ถ่ายทอดศิลปะ นาฏศิลป์ บวกกับพุทธศาสนา ในเรื่องของพราหมณ์กับพุทธเข้ามาเพื่อจรรโลงจิตใจตัวเทียน พ่อก็คือพ่อครู พี่หนุ่มสันติสุข พรหมศิริคือพ่อสิงหเดโช พ่อที่มีความเป็นผู้นำ มีความเด็ดขาด เป็นพ่อของเทียนที่เทียนเห็นแล้วยึดถือเอาเป็นแบบอย่าง อยากเป็นเหมือนพ่อ สิ่งที่ผมเห็นในตัวพี่หนุ่มนั่นคือสปิริตในเรื่องของการเล่นแอ็คชั่นที่แกทุ่มเทอย่างเต็มที่และสายตาที่บ่งบอกถึงพลังบางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่ข้างใน ปมลึกๆของตัวละครตัวนี้ที่อยู่ข้างในนั่นก็คือฉากที่บ้านถูกเผา ตัวเองและเมียกำลังจะถูกฆ่า นั่นคือสิ่งที่ถ่ายทอดออกมาจากความรู้สึกข้างในที่มีความห่วงใยลูกและมีความแค้นและมีปมลึกๆอยู่ข้างในว่าตนไม่ได้ผิด ตนไม่ได้เป็นฝ่ายกระทำอะไร แต่สิ่งที่พี่หนุ่มถ่ายทอดออกไปคือมันได้ครบหมด ตอบโจทย์ทั้งหมดเลย เป็นนักรบ เป็นทหารที่ตงฉิน ซื่อสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์รักและยอมตายยอมสละชีวิตได้ให้กับแผ่นดิน พี่ตั้ว ศรัณยู วงษ์กระจ่าง กับบทพระยาราชเสนา เหมือนหน้ากากที่ใส่ เป็นมหาอำนาจ มีพลังอำนาจเปรียบได้กับพญาครุฑที่มันผงาดฟ้า ไม่ยอมลงกับใคร น่าเกรงขาม แต่ลึกๆข้างในคืออำมหิตเลือดเย็น พระยาราชเสนาทุกซีนที่เปิดตัวคือพลังทางการแสดงของพี่ตั้วศรัณยูล้วนๆครับ แล้วต้องบอกว่าพี่ตั้วเป็นนักแสดงที่จำไดอาล็อคได้ยาวมากๆครับ แล้วให้ถึงพลัง ขนาดแกไม่ได้นอนนะ เห็นแค่ใส่ชุด แล้วองค์ประกอบของชุดมันเพิ่ม ทั้งเรื่องของดวงตา เรื่องของสรีระ ใบหน้า ใช่เลยคนนี้เป็นพญาครุฑเลย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อันเรืองอำนาจของตัวละครที่พี่ตั้วแสดง นิ่งๆแต่พลังทางการแสดงจากข้างในล้วนๆ ออกมาเป็นพลังที่ใช่เลย เขาเป็นผู้นำ เป็นผู้นำที่มีศักยภาพที่ครอบครองและควบคุมทุกอย่างได้ให้เป็นของกู โลกนี้เป็นของกูนั่นคือพระยาราชเสนา จ๊ะจ๋า พริมตา เดชอุดม นางเอกเราส่งให้เขาไปเวิร์คช็อพ ซึ่งน้องเขาก็บอกตลอดว่าถ้าผกก.อยากได้อะไรก็บอกได้เลยนะ ตอนแรกก็หนักใจเหมือนกันว่าเขาจะทำได้ไหม แต่พอไปเวิร์คช็อพ ลองเข้าฉากด้วยกัน ลองรำด้วยกัน ก็ได้ พอเจอกันเขาก็โชว์ให้ดูเลย ถามเราด้วยว่ามีแก้ตรงไหน ได้ไหม ส่วนตัวแล้วสำหรับผม มีความรู้สึกที่ว่า ตัวละครที่เราต้องการถ่ายทอดไม่อยากให้มีแค่หน้าเดียว เราอยากให้ทุกตัวละครของเรามีมิติ มี2ความรู้สึกด้านลึกซ้อนลงไปในคาแรคเตอร์ตัวนี้ เพราะตัวละครพิมจะมีความน่ารัก ทะเล้น รู้สึกสดใส แต่ในขณะเดียวกันบางอารมณ์มีความเป็นผู้ใหญ่ ต้องมีความเข้มแข็งพอที่จะฉุดตัวเทียนขึ้นมาจากจุดต่ำสุด เพราะความรู้สึกของตัวเทียนเขาจะมีปมที่แข็งกร้าวอยู่ เพราะฉะนั้นตัวพิมจึงมักจะบอกกับตัวเองเสมอว่าตัวเองต้องเข้มแข็ง ถ้าพูดไปแล้ว ตอนแรกเราโฟกัสไปที่คนที่จะรำเป็นหลัก กะเลือกเอานักเรียนนาฏศิลป์มาเลย แต่ในเรื่องของแอ็คติ้งก็สำคัญ ด้วยกระบวนการถ่ายทำด้วยก็เลยมาสรุปลงตัวที่จ๊ะจ๋า พอได้เข้ามาก็ส่งไปเรียนรำ ซึ่งน้องจ๊ะจ๋าไม่ใช่คนที่มาโดยไม่มีพื้นฐานอะไรเลย กลับกันเขาพอมีพื้นฐานมาบ้าง ยิ่งมีพื้นฐานมาก่อนยิ่งง่าย และยิ่งมีฟีลลิ่งของการแสดงมาก็จะยิ่งเป็นบวก มันก็จะง่ายต่อการต่อยอดกัน รวมทั้งบุคลิกตัวจริงของน้องที่ได้คุยกัน เขาเป็นคนที่สดใสร่าเริง พอถึงเวลาในกองถ่ายที่บรรยากาศเงียบๆเครียดๆ เขาก็มาละ ทำอะไรให้กองถ่ายมีชีวิตชีวาขึ้นมา ซึ่งเราก็เอาจุดนั้นไอ้ความร่าเริงสดใสที่ตัวเขามีอยู่แล้วดึงออกมาใช้ในหนัง มันก็เลยส่งต่อถ่ายทอดออกมาทั้งในด้านความหวาน และความแข็งแกร่งในตัวของเขาที่จะช่วยทำให้พลังของเทียนขึ้นมา หม่ำ จ๊กม๊ก แน่นอนว่าถ้ามีจา พนมต้องมีผู้ชายคนนี้ องค์บากภาคแรกกับพี่หม่ำก็มีแล้วครับ เพราะฉะนั้นพลาดไม่ได้องค์บากภาค2ต้องมีครับ โดยเฉพาะองค์บากภาค2ก็จะเปลี่ยนคาแรคเตอร์ของพี่หม่ำไป โดยให้เป็นคาแรคเตอร์เป็นคนบ้าไปเลยครับ เพราะยังไม่เคยมีที่พี่หม่ำเล่นเป็นบทคนบ้า แต่ตัวละครคนบ้านี้ก็จะมีความหมายต่อองค์บากภาค2มาก เป็นตัวละครที่อยู่ในคณะโขนบ้านครูบัว แล้วเขาเป็นคนที่ชื่นชอบทางด้านศิลปะ นาฏศิลป์ และเป็นคนที่ดูรูปลักษณ์ภายนอก มีลักษณะคล้ายคนบ้า เสียสติ แต่ข้างในจริงๆ อย่างที่บอกครับแต่ละตัวละครมักจะมี 2คาแรคเตอร์อยู่ในตัวเดียวอีกแล้ว และข้างในคือความขาวบริสุทธิ์ เพราะรูปลักษณ์ภายนอก เป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้นที่ดูเป็นลักษณะคนบ้า ที่เลือกพี่หม่ำ เพราะว่าทุกคนน่าจะรู้จักพี่หม่ำว่าเป็นคนตลก แล้วเราก็เลยจับทำยังไงที่จะเปลี่ยนรูปลักษณ์และคาแรคเตอร์ของพี่หม่ำออกมาให้ดูแปลกใหม่ ที่ไม่ใช่ต้องการที่จะตลกอย่างเดียว แต่ให้ปรัชญา ให้แนวความคิดที่อยู่ข้างในตัวคาแรคเตอร์ของตัวนี้ ซึ่งพี่หม่ำถ่ายทอดออกมาได้อย่างดีมากๆ อยากให้จับตาดูให้ดีเป็นตัวละครที่สำคัญมากๆ แล้วในการทำงานพอพี่หม่ำรู้ถึงโทนหนังแล้ว เขารู้เลยว่าเล่นคนบ้าตัวนี้จะมาเล่นตลกแบบโอเวอร์ไม่ได้นะ แต่พี่หม่ำรู้ว่าจะต้องเล่นอย่างไร ต๊อกศุภกรณ์ กิจสุวรรณ ต๊อกเนี่ยะ ผมชื่นชอบในการแสดงของเขาและได้สัมผัสตัวตนของเขาจริงๆ เขาเป็นคนที่น่ารักมาก ตลก มันส์ เจอหน้าที่ไร ฮิพฮอพใส่ ต่อยอดกัน เห็นเขาแสดงในสุริโยไท ,2499 และหนังหลายๆเรื่องที่เขาเล่น รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่บ้า อีกอย่างหนึ่งเขาเป็นคนชอบเต้น (ทำท่าเบรคแดนซ์) มุมมองในการเต้นของเขาโดนเหมือนกัน ส่วนการแสดงของเขาบ้า มุทะลุดุดันเหมือนกัน แล้วก็เคยเล่นหนังแอ็คชั่นมา ด้วยตัวคาแรคเตอร์ของเขาน่าจะทำอะไรได้ที่มันบ้าๆได้ แน่นอนว่าฉากในการต่อสู้ต่างๆในหนังเขาก็ต้องมาฝึกฝน แล้วพอได้มาสัมผัสกันก็รู้สึกได้เลยว่าเขาเป็นคนที่เรียนรู้ได้เร็วมาก แล้วมีความตั้งใจมาก ตั้งใจที่จะทำงานร่วมงานกับเรา เอา เอาพี่ ผมต้องไปฟิต ผมต้องไปจัดการตัวเองใหม่แล้ว ต้องไปรื้อฟื้นใหม่แล้ว แต่ก่อนคือเขาอยากทำอย่างนี้นะ เคยเห็นภาพเขาวิ่งอยู่บนหลังช้าง ก็รู้สึกว่าเออคนนี้ก็บ้าดี ประมาณรุ่นเดียวกันด้วย น่าจะสร้างสรรค์ให้กับหนังไทยได้ น่าจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ขับเคี่ยวกันอีกรูปแบบหนึ่ง ในการดวลง้าว ดวลดาบกัน ต๊อกรับบทเป็นทหารองค์รักษ์ของพระยาราชเสนานั่นก็คือพี่ตั้วศรัณยู แล้วทหารองค์รักษ์เขาจะมีความเก่งในเรื่องของเพลงง้าว เขาก็จะได้ใช้ง้าว ได้ต่อสู้กันหลายๆเพลงยุทธ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ