แนวโน้มการลงทุนในตราสารทุนปี 2552

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday December 17, 2008 10:15 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--17 ธ.ค.--บลจ.ธนชาต โดยภาพรวม ภาวะการลงทุนในประเทศและทั่วโลกยังถูกปกคลุมด้วยความเสี่ยงของภาคการเงินและภาวะเศรษฐกิจโลก ที่น่าจะหดตัวลงอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี ซึ่งผลกระทบข้างต้นจะเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 โดยในเดือน พ.ย. กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดการประเมินการเติบโตของ GDP ของเศรษฐกิจโลกในปี2008 จาก 3.9% เหลือ 3.7% และสำหรับปี 2009 ลดลงจากเดิม 3.0% เหลือเพียง 2.2% และมีแนวโน้มจะต้องปรับลดประมาณการลงอีกค่อนข้างมาก กลุ่มประเทศที่ IMF ปรับลดการเติบโตของเศรษฐกิจ ในปี 2009 มากที่สุด คือ กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมที่ระดับ 5.1% ลดจาก 6.1% ที่ประมาณไว้ก่อนหน้านี้ในเดือน ต.ค. โดยกลุ่ม Commonwealth of Independent States (รัฐที่แยกตัวของจากรัสเซียเดิม) ยกเว้นรัสเซีย ถูกประเมินลดลงอย่างรุนแรง คือ จาก 6.2% เหลือ 1.6% ประเทศกำลังพัฒนาจะยังมีอัตราการเติบโตดีกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ในปี 2009 กว่าครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจโลกจะตกอยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยเช่น สหรัฐฯคาดว่าจะหดตัว -0.7% สหราชอาณาจักรคาดว่าจะเป็นประเทศที่ได้รับผลลบมากที่สุดในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก โดย IMF ประเมินว่า สหราชอาณาจักรจะหดตัว -1.3% ในปี 2008 ส่วนจีน IMF คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าที่คาดไว้เดิม จึงปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2009 จาก 9..3% เหลือ 8.5% อินเดียปรับลดจาก 6.9% เหลือ 6.3% และสำหรับประเทศไทยเองได้มีการคาดการณ์ว่า GDP จะเติบโตในระดับร้อยละ 0.9-2 เท่านั้น ปัจจัยที่ต้องกังวลคงจะไม่พ้นเรื่องเศรษฐกิจโลกที่ลุกลามจากภาคการเงินสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงอย่างชัดเจน ซึ่งได้ส่งผลมากต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคทั่วโลก ก่อให้เกิดภาวะการเงินตึงตัว ส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการจ้างงาน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอันหนึ่งคือปัญหาทางการเงินของกลุ่ม Big Three ในอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่อาจจะต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลายหากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐฯ โดยเฉพาะบริษัท General Motors และ Chrysler ภาคธุรกิจอื่นๆที่อาจไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงมากเท่าอุตสาหกรรมข้างต้นต่างก็ประสบกับการชะลอตัวของความต้องการสินค้าและบริการอย่างชัดเจน สำหรับประเทศไทย จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงและความต้องการของผู้บริโภคที่ลดลง จึงมีความเสี่ยงที่จะมีการปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตของผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนลง โดยมีการคาดการณ์การเติบโตในปี 2552 ว่าจะลดลงประมาณร้อยละ 5 - 22 เมื่อผนวกกับความไม่มั่นคงทางการเมืองในประเทศที่อาจจะทำให้การผลักดันนโยบายเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจล่าช้าหรือน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยฟื้นตัวได้ล่าช้ากว่าภาวะเศรษฐกิจโลกก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม ภาพดังกล่าวน่าจะเริ่มคลี่คลายลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจที่ใหญ่จึงนำมาซึ่งการพร้อมใจกันของรัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน-การคลัง โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง การอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินจำนวนมาก การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้นโยบายการคลังครั้งใหญ่ และจากการที่ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไปโดยเฉพาะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลงมาก โดยเฉพาะน้ำมันดิบ ที่ปรับตัวลงต่ำกว่า 50 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นต้นทุนของธุรกิจและภาครัวเรือนส่วนใหญ่ ปัจจัยข้างต้นนี้เป็นปัจจัยที่จะช่วยลดผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกไม่ให้ถดถอยรุนแรงจนเกินไปและเป็นการช่วยเกื้อหนุนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป สำหรับกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ธนชาต ผู้จัดการกองทุนจะเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความอ่อนไหวไม่มากนักต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม อาทิธุรกิจที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก เป็นธุรกิจที่มีความได้เปรียบในเชิงของต้นทุนการผลิตหรือสามารถบริหารต้นทุนได้ง่าย ในขณะเดียวกัน ก็ต้องมีกระแสเงินสดที่เข้มแข็งพอที่จะสามารถจ่ายเงินปันผล และประคองธุรกิจให้ผ่านช่วงเศรษฐกิจถดถอยนี้ไปได้ ซึ่งความเข้มแข็งทางการเงินอาจนำมาซึ่งโอกาสในการเข้าไปซื้อกิจการของคู่แข่งที่มีฐานะการเงินด้อยกว่าได้ บริษัทที่สนใจลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ในหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่มีกระบวนการผลิตที่ครบวงจร หรือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่จำเป็น เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนจะพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิมากๆและมีฐานะการเงินอยู่ในเกณฑ์ที่เข้มแข็งพอ เนื่องจากเมื่อยามเศรษฐกิจฟื้นตัว บริษัทเหล่านี้จะสามารถสร้างผลการดำเนินงานกลับมาได้อย่างรวดเร็ว หรือหากเศรษฐกิจยังคงถดถอยต่อไปอีก บริษัทเหล่านี้ก็สามารถอยู่รอดได้ในภาวะที่ยากลำบากเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ คุณภาพของบริษัทที่ลงทุนจึงมีความสำคัญอย่างมากในภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงเช่นปัจจุบัน สำหรับตลาดหุ้นในต่างประเทศ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ยังมีอยู่มากคาดว่าจะยังคงกดดันต่อภาวะการลงทุนทำให้ความผันผวนน่าจะอยู่ในระดับที่สูงโดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2009 แต่คาดว่าความผันผวนของภาวะตลาดน่าจะเริ่มน้อยลงในครึ่งปีหลังของปี 2009 เมื่อผู้ลงทุนได้ Discount ข่าวในด้านลบไปมากแล้ว อย่างไรก็ตาม ผลของวิกฤติเศรษฐกิจที่ถดถอยนี้น่าจะคงอยู่ตลอดทั้งปี 2009 และการฟื้นตัวจะใช้เวลาค่อนข้างนานแม้ว่าจะมีแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในหลายๆประเทศแล้วก็ตาม ในระยะสั้นนี้ตลาดต่างประเทศยังมีความเสี่ยงหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเงินฝืด การชะลอตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจจีน ซึ่งอาจจะเป็นความหวังเดียวของเศรษฐกิจโลกในปีหน้า การถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ญี่ปุ่นและยุโรป แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจและการฟื้นฟูภาคการเงินของสหรัฐฯและยุโรปว่าจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด แม้ว่าหุ้นในต่างประเทศที่มีคุณภาพได้มีราคาลดต่ำกว่าราคาตามปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวอยู่มากและได้สะท้อนข่าวในด้านลบไปมากแล้ว แต่ก็จะมีผู้ลงทุนจำนวนมากที่ไม่ต้องการเข้าตลาดเป็นรายแรกเพราะความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูงเกินไปและต้องการรอจนกว่าตลาดจะนิ่งขึ้นและเห็นภาพเศรษฐกิจที่ชัดเจนกว่านี้ ครึ่งปีหลังของปี 2009 คาดว่าแนวคิดการลงทุนที่น่าจะเหมาะสม คือ Value play โดยอาจจะเน้นหุ้น Large cap มีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง มีลักษณะของ defensive ผสมผสานกับหุ้นที่ Undervalued มาก มีอัตราการจ่าย dividend ดี หรือเป็นธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้ง่ายต่อสภาพเศรษฐกิจเป็นต้น ฝ่ายส่งเสริมการตลาดและประชาสัมพันธ์ บลจ.ธนชาต 02-1268300 ต่อ 284

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ