กรมบัญชีกลางเอาจริง แจ้งจับผู้กระทำผิดทุจริตเบิกค่ารักษา

ข่าวทั่วไป Wednesday December 17, 2008 16:42 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--17 ธ.ค.--กรมบัญชีกลาง กรมบัญชีกลางรายงานให้คณะกรรมมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ทราบว่ามีผู้ทุจริตเวียนเทียนขอรับยา จะดำเนินการตามกฎหมายเข้มงวด เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลของรัฐ นายมนัส แจ่มเวหา รักษาการที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า วันนี้ (17 ธ.ค.) คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โดยการนำของนายเจตน์ ศิรธรานนท์ รองประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา พร้อมคณะอนุกรรมาธิการติดตามและตรวจสอบการบริหารงบประมาณด้านสาธารณสุข ได้เดินทางมาพบอธิบดีกรมบัญชีกลาง (นายปิยพันธุ์ นิมมานเหมินท์) และผู้บริหารระดับสูง เพื่อมาเยี่ยมและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางด้านการบริหารงบประมาณ ปัญหา และแนวทาง การแก้ไขที่เกี่ยวข้องกับงานสวัสดิการการรักษาพยาบาลข้าราชการ เมื่อเวลา 13.00 น. ภายหลังการหารือกัน นายมนัส แจ่มเวหา เปิดเผยว่า ได้มีการหารือกันหลายเรื่อง เรื่องที่สำคัญคือ การควบคุมงบประมาณไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นมาก ปีที่แล้ว กรมบัญชีกลางได้เบิกจ่ายเงินงบกลางเป็นค่ารักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ผู้รับบำนาญ และบุคคลในครอบครัว รวม 5 ล้านคน ใช้งบประมาณ 54,904 ล้านบาท ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ได้ขอตั้งงบประมาณ 63,000 ล้านบาท แต่สภาปรับลดลงเหลือ 48,500 ล้านบาทเท่านั้น น้อยกว่างบประมาณที่จ่ายจริงเมื่อปีที่แล้วเสียอีก ในขณะที่มีการเรียกร้องให้ปรับเพิ่มสิทธิต่างๆ ดังนั้น กรมบัญชีกลางจึงมีแนวคิดที่จะควบคุม อุดรูรั่วไหลต่างๆ เพื่อนำเงินที่ประหยัดได้มาเพิ่มเติมสิทธิ กรมบัญชีกลางได้จ้างสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข เพื่อทำการตรวจสอบเวชระเบียนของสถานพยาบาลต่างๆ มา 3-4 ปีแล้ว ขณะนี้พบว่า มีการเบิกจ่ายเงินสูงผิดปกติมา 3-4 ปีแล้ว จึงได้ตรวจสอบโดยละเอียด พบว่า ขณะนี้มีข้าราชการ ผู้รับบำนาญ รวม 8 ราย เข้าข่ายทุจริตโดยเวียนไปขอรับยาจากโรงพยาบาล 3-4 แห่ง รับยามาเป็นจำนวนมากเกินกว่าที่จะรับประทานได้ น่าสงสัยว่าจะนำไปขายต่อ ซึ่งกรมบัญชีกลางได้ประชุมหารือกับโรงพยาบาลที่บุคคลเหล่านั้นไปรับยา จะดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีอาญาฐานฉ้อโกง และเรียกให้ชดใช้เงินคืน โดยกรมบัญชีกลางจะแจ้งความร่วมกับโรงพยาบาล ณ สถานีตำรวจฯ ท้องที่ที่โรงพยาบาลตั้งอยู่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการมอบอำนาจจากผู้มีอำนาจของสถานพยาบาล นายมนัสกล่าวเพิ่มเติมว่า หากผลการสอบสวนของตำรวจพบว่าเข้าข่าย หรือเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลมีส่วนร่วมเกี่ยวข้องด้วย รวมถึงร้านขายยาที่รับซื้อยาก็ต้องรับผิดตามกฎหมายด้วยเช่นกัน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ