สรุปสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ปี 2551

ข่าวอสังหา Friday December 26, 2008 16:06 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--26 ธ.ค.--ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ปี 2551 เป็นปีแห่งความผันผวนของเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง โดยมีอสังหาริมทรัพย์ภาคที่อยู่อาศัยเป็นทั้งเหตุและผลของปัญหา ผลกระทบทางเศรษฐกิจกระจายต่อเนื่องไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลายประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ ต่างประสบปัญหาอย่างสาหัส จนตัวเลขชี้นำต่างๆติดลบขั้นเลวร้ายที่สุดในรอบครึ่งทศวรรษ หรือรอบทศวรรษ จนมีผู้กล่าวติดตลกปนเศร้าว่าฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐนั้น เป็น Mother of All Housing Bubbles หรือ อัครมหาฟองสบู่ที่อยู่อาศัย อสังหาริมทรัพย์ไทย ในฐานะองค์ประกอบหนึ่งของเศรษฐกิจ หลีกเลี่ยงผลกระทบไม่พ้นและกำลังได้รับผลพวงที่เลวร้ายทวีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกัน ทิศทางของอสังหาริมทรัพย์ไทยก็เป็นเหตุและผลมาจากกิจกรรมภายในประเทศที่พัฒนามาก่อนหน้าจนถึงปัจจุบันด้วย ย้อนหลังกลับไปช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 และสถานการณ์เลวร้ายถึงขั้นเผาจริงในปี 2541 และ 2542 แล้ว หลังจากนั้น เศรษฐกิจของประเทศไทยเริ่มฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ ในระหว่างปี 2543-2545 และพลิกฟื้นได้เร็วขึ้นตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา แม้ว่าปัจจัยการเมืองจะค่อยๆร้อนแรงเป็นลำดับมาตั้งแต่ปี 2548 และ 2549 จนถึงปัจจุบัน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีความเปลี่ยนแปลงไปสู่การก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวสูงในสัดส่วนและปริมาณที่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่กำเนิดของเส้นทางรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน 2 สายหลัก คือ รถไฟลอยฟ้า BTS ในปลายปี 2542 และรถไฟใต้ดิน MRT ในช่วงกลางปี 2547 โดยพบว่าจำนวนคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ ซึ่งเคยมีเพียงประมาณปีละ 5,000 หน่วยในปี 2544 และ 2545 นั้น ได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 7,400 หน่วยในปี 2546 และเป็น 8,400 หน่วยในปี 2547 ก่อนจะกระโดดข้ามหลักหมื่นเป็น 10,900 หน่วยในปี 2548 และเป็นประมาณ 17,000 หน่วยในปี 2549 และ 2550 สำหรับในปี 2551 จำนวนหน่วยคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ใน 3 ไตรมาสแรกรวมกันมีประมาณ 19,700 หน่วย เมื่อรวมทั้งปีจำนวนหน่วยจะอยู่ที่ประมาณ 25,000 หน่วย หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35 ของที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ทั้งหมดในปีนี้ (นับเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับเมื่อครั้งก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540) เพิ่มขึ้นจากสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 15 ระหว่างในระหว่างปี 2542-2548 และสัดส่วนร้อยละ 22 ในปี 2549 และ 2550 มีคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่เป็นจำนวนมากในไตรมาสที่ 3 ไตรมาสเดียวประมาณ 12,000 หน่วย เพิ่มขึ้นจากสองไตรมาสแรกที่มีรวมกันเพียงประมาณ 8,000 หน่วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ประกอบการเร่งรัดการสร้างเพื่อให้ทันกำหนดการเดิมของมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเดิมกำหนดให้สิ้นสุดปลายเดือนมีนาคม 2552 (ในภายหลังได้มีการขยายระยะเวลาออกไปอีกหนึ่งปี) สัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของคอนโดมิเนียม มาจากสัดส่วนที่ลดลงมากของบ้านเดี่ยวจากร้อยละ 65 ในปี 2548 เหลือร้อยละ 52 ในปี 2551 และเหลือร้อยละ 46 ในปี 2552 ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์กับอาคารพาณิชย์ลดจากร้อยละ 24 ในปี 2550 เหลือร้อยละ 18 ในปี 2551 ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนเป็น Finished products หรือตัวเลขปลายน้ำ ตัวเลขที่เห็นจึงไม่ได้แสดงภาพทั้งหมด เพราะการสร้างที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูงขนาดใหญ่ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 2-3 ปี หากย้อนไปดูต้นน้ำที่จำนวนใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูง พบว่า พื้นที่ก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูงในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้เพิ่มขึ้นมากจนสูงสุดในปี 2549 กล่าวคือ จากประมาณ 1.2 ล้านตารางเมตรในปี 2545 เพิ่มสองเท่าเป็น 2.5 ล้านตารางเมตรในปี 2546 เพิ่มอีกเป็น 3.6 ล้านตารางเมตรในปี 2547 และเป็น 5.1 ล้านตารางเมตรในปี 2548 ก่อนจะพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็น 9.6 ล้านตารางเมตรในปี 2549 และชะลอลงเหลือ 7.6 ล้านตารางเมตรในปี 2550 สำหรับในปี 2551 ครึ่งปีแรกมีพื้นที่ที่ได้รับใบอนุญาตก่อสร้างเป็นที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูงทั้งสิ้นประมาณ 3 ล้านตารางเมตรในครึ่งปีแรก คาดว่าทั้งปี การขอและออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูงจะชะลอลงเหลือประมาณ 6 ล้านตารางเมตร ทั้งนี้เพราะมีหน่วยอยู่ระหว่างก่อสร้างอีกมาก ตัวเลขพื้นที่ก่อสร้างสองสามปีล่าสุดรวมกัน หากคำนวณกลับเป็นจำนวนห้องคอนโดมิเนียมจะมีจำนวนนับแสนหน่วยหากมีการก่อสร้างจริงทั้งหมด แต่ผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งขอใบอนุญาตไว้ก่อนโดยยังไม่ได้ลงมือสร้างจริง ทั้งนี้ จากจำนวนใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูงทั้งหมดทั่วประเทศ ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 80 กระจุกตัวอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่เหลือกระจายอยู่ในจังหวัดชลบุรี ภูเก็ต และเชียงใหม่ สำหรับใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีจำนวนบ้านเดี่ยวสูงถึง 63,000 หน่วยในปี 2546 และสูงสุดเป็น 78,000 หน่วยในปี 2547 หลังจากนั้นได้ลดลงสวนทางกับคอนโดมิเนียม โดยลดลงเหลือ 57,000 หน่วยในปี 2548 ต่อมาเหลือ 48,000 หน่วยในปี 2549 และ 44,000 หน่วยในปี 2550 สำหรับในปี 2551 ในสามไตรมาสแรก มีจำนวนการออกใบอนุญาตก่อสร้างประเภทบ้านเดี่ยวเพียงประมาณ 23,000 หน่วย คาดว่าทั้งปี 2551 น่าจะมีประมาณ 30,000 หน่วย ในทำนองเดียวกัน จำนวนใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบประเภทอื่นที่ไม่ใช่บ้านเดี่ยว ได้แก่ ทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ และ บ้านแฝด ก็ลดลงมากจากประมาณปีละ 18,000-20,000 หน่วยในปี 2549-2550 ลงมาเหลือไม่ถึง 9,000 หน่วยในสามไตรมาสแรกของปี 2551 และรวมทั้งปี 2551 น่าจะมีการออกใบอนุญาตก่อสร้างทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ และ บ้านแฝด รวมกันไม่เกิน 12,000 หน่วย จากจำนวนใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบทั้งหมดทั่วประเทศในช่วงสามปีล่าสุด จะอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประมาณร้อยละ 30 ที่เหลือกระจายไปทั่วประเทศ (เทียบกับใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูงทั่วประเทศ ประมาณร้อยละ 80 กระจุกตัวอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล) สำหรับหน่วยที่อยู่ระหว่างการขาย จากการลงพื้นที่และประเมินของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ พบว่ามีหน่วยคอนโดมิเนียมที่ยังเหลือขายในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลทั้งสิ้นประมาณ 20,000 หน่วย จากผังโครงการประมาณ 210 โครงการ (นับรวมทั้งโครงการเก่าและใหม่ที่ยังมีหน่วยเหลือขายขั้นต่ำ 6 หน่วย หรือยังเปิดสำนักงานขายอยู่) รวม 89,000 หน่วย หรือมีการทำสัญญาจะซื้อจะขายแล้ว 69,000 หน่วยในช่วงประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่มีที่โอนกรรมสิทธิ์แล้วประมาณ 25,000 หน่วย ที่เหลือยังรอโอนกรรมสิทธิ์ และจากจำนวนหน่วยทั้งหมดในผังโครงการ เป็นส่วนที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างประมาณ 44,000 หน่วยทั่วทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล (ในขณะเดียวกันที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบมีจำนวนหน่วยระหว่างก่อสร้างประมาณ 30,000 หน่วยทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล) จากจำนวนหน่วยเหลือขายของคอนโดมิเนียม เกือบครึ่งหนึ่งมีระดับราคาขายอยู่ที่ 1-3 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 9,300 หน่วย ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทมีประมาณร้อยละ 19 หรือประมาณ 3,800 หน่วย ราคาระหว่าง 3-5 ล้านบาทมีประมาณร้อยละ 17 หรือประมาณ 3,400 หน่วย ที่เหลือราคาสูงกว่า 5 ล้านบาทมีประมาณร้อยละ 18 หรือประมาณ 3,500 หน่วย สำหรับที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบ ยังมีหน่วยเหลือขาย (จากหน่วยที่อยู่ในผังโครงการ ซึ่งอาจยังไม่มีการก่อสร้าง) จำนวนมากในจังหวัดปทุมธานี ประมาณ 20,000 หน่วย แต่สำหรับกรุงเทพฯจังหวัดเดียว มีหน่วยเหลือขายในเขตรอบนอกรวมกันประมาณ 16,000 หน่วย ในระดับราคาส่วนใหญ่อยู่ที่ 1-3 ล้านบาท และ 3-5 ล้านบาท ใกล้เคียงกัน เปรียบเทียบกับที่อยู่อาศัยที่เปิดตัวใหม่ในปี 2551 ทั้งปี ในทุกระดับราคาทุกทำเลในกรุงเทพฯและปริมณฑล ในปี 2551 มีจำนวนคอนโดมิเนียมเปิดตัวใหม่รวมกันประมาณ 28,000 หน่วย ใกล้เคียงกับจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบที่เปิดตัวใหม่ โดยภาพรวมปี 2551 ในช่วง 3 ไตรมาสแรก ถือว่าผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยมียอดการขายที่ดีกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประกาศพัฒนาโครงการใหม่จำนวนมาก ทั้งในแนวราบและแนวสูง โดยเฉพาะบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในขณะที่สถาบันการเงินประเภทธนาคารพาณิชย์หลายธนาคารที่มีขนาดใหญ่ ประกาศตัวเลขเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อบ้าน ณ ต้นปีไว้ สูงกว่าที่เคยทำได้ในปี 2550 ปัจจัยหนุนช่วยประการสำคัญ เป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ที่มีทั้งมาตรการส่งเสริมตลาดทุน มาตรการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และมาตรการส่งเสริมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ สำหรับมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์นั้น เดิมกำหนดไว้เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งปีจาก 28 มีนาคม 2551 ถึง 28 มีนาคม 2552 แต่เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2551 ได้มีการขยายระยะเวลาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปี มาตรการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญ ได้แก่ การลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจากปกติเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 2 ของมูลค่าการซื้อขาย โดยผู้ซื้อและผู้ขายออกค่าใช้จ่ายฝ่ายละครึ่ง (เว้นแต่จะมีการตกลงเป็นอย่างอื่น) ปรับลดลงเหลือเพียงร้อยละ 0.01 หมายความว่าจากเดิม มีภาระจ่ายค่าธรรมเนียม การโอน 20,000 บาทต่อมูลค่าการซื้อขาย 1 ล้านบาท ลดเหลือเพียง 100 บาทต่อมูลค่าการซื้อขาย 1 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดจำนองการกู้ยืมสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งเดิมเรียกเก็บร้อยละ 1 จากผู้จดจำนองการกู้ยืม ลดลงเหลือร้อยละ 0.01 หมายความว่าจากเดิม มีภาระจ่ายค่าธรรมเนียมการจดจำนอง 10,000 บาทต่อมูลค่าการซื้อขาย 1 ล้านบาท ลดเหลือเพียง 100 บาทต่อมูลค่าการซื้อขาย 1 ล้านบาท ดังนั้น ตามมาตรการนี้ ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยมูลค่าหนึ่งล้านบาท สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 19,800 — 29,800 บาท ต่อมูลค่าการซื้อทุกหนึ่งล้านบาท ในส่วนของผู้ประกอบการซึ่งเป็นผู้ขายด้วย นอกจากจะได้ประโยชน์ในส่วนค่าธรรมเนียมการโอนฟากผู้ขายแล้ว ยังได้ลดหย่อนค่าภาษีธุรกิจเฉพาะจากปกติร้อยละ 3.3 เหลือร้อยละ 0.11 และสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่จะทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งตลาด SET และตลาด MAI หรือกำลังจะยื่นจดในตลาดใดตลาดหนึ่งดังกล่าวภายในปี 2551 และสามารถจดได้จริงภายในปี 2552 จะได้รับสิทธิพิเศษ ลดหย่อนภาระภาษีลงร้อยละ 5 จากส่วนกำไร 300 ล้านบาทแรก หรือเท่ากับสามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ถึงปีละ 15 ล้านบาท ในแต่ละปี เป็นเวลา 3 ปี ในช่วงต้นของมาตรการ ยังมีความสับสนคลุมเครือว่ามาตรการนี้จะครอบคลุมถึงการซื้อขายที่อยู่อาศัยมือสองในขอบเขตใด จนกระทั่งต่อมาในช่วงต้นเดือนเมษายน จึงมีการประกาศมาตรการเพื่อเติมเต็มให้ครอบคลุมการซื้อขายที่อยู่อาศัยมือสองด้วย ภายใต้เงื่อนไขเนื้อที่ไม่เกินหนึ่งไร่ การรอคอยให้มาตรการมีผลบังคับใช้จริง ทำให้ในไตรมาสแรกมีการชะลอธุรกรรมทั้งในฝ่ายผู้ซื้อและฝ่ายผู้ขาย รวมทั้งการปล่อยสินเชื่อใหม่ของสถาบันการเงิน ดังจะเห็นได้ว่าในไตรมาสแรกสถาบันการเงินทั้งระบบรวมกันปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพียงประมาณ 49,000 ล้านบาท แต่เมื่อมาตรการมีความชัดเจน ปริมาณการปล่อยสินเชื่อกลับเพิ่มขึ้นมากเป็นประมาณไตรมาสละเกือบ 80,000 ล้านบาทในทั้งไตรมาสสอง และไตรมาสสาม ประเด็นการเมืองร้อนแรงขึ้นเมื่อช่วงกลางปี ทำให้ความเชื่อมั่นทางการเมืองถดถอย แต่กิจกรรมการซื้อขายยังมีแรงหนุนจากมาตรการ และวิกฤตอสังหาริมทรัพย์จากสหรัฐยังลามมาไม่ถึง แต่วิกฤตการเงินโลกที่รุนแรงขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายน ได้ลามไปสู่ตลาดทุนและตลาดการค้าทั่วโลก สร้างความเสียหายขนานใหญ่แก่ระบบสถาบันการเงินจนกระทบความเชื่อมั่นและกำลังซื้อในทุกภูมิภาคทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ธนาคารกลางของสหรัฐ ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง เคยขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกันยาวนานถึงสองปีเศษรวม 17 ครั้งๆละ 25 จุดฐาน (Basis Point) จากจุดต่ำสุดร้อยละ 1.00 เป็นร้อยละ 5.25 เมื่อมาถึงเดือนมกราคม 2551 ธนาคารกลางสหรัฐได้ปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรุนแรง ทั้งในการประชุมรอบปกติและในการประชุมพิเศษ จนล่าสุด อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐลดลงมาเหลือในช่วงร้อยละศูนย์ถึง 0.25 ขณะที่ธนาคารกลางของญี่ปุ่นก็ลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ใกล้ร้อยละศูนย์เช่นกัน และธนาคารกลางในประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ กำลังดำเนินนโยบายไปในแนวทางเดียวกัน ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ซึ่งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์จัดทำในช่วงปลายปี 2550 ในห้วงเวลาภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่ดีในระดับ 50.1 (จากค่ากลางที่ 50.0) รวมไปถึงความคาดหวังที่ดีในอนาคต และเมื่อมีการสำรวจใหม่ในไตรมาสแรก ปี 2551 ความเชื่อมั่นพุ่งสูงขึ้นสู่ระดับ 55.3 เนื่องจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการสำรวจในไตรมาสที่สอง ปี 2551 เห็นได้ชัดเจนว่า ความเชื่อมั่นและความคาดหวังของผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยลดลงในทุกหมวดย่อย ทั้ง ยอดขาย ผลประกอบการ ต้นทุน ฯลฯ เหลือเพียง 45.0 และความเชื่อมั่นดังกล่าวยังถดถอยลงในไตรมาสที่สาม (ในช่วงที่วิกฤตการเมืองเริ่มรุนแรงและวิกฤตการเงินโลกเริ่มชัดเจน) เหลือ 43.8 จากข้อมูลสถิติที่ชี้วัดอุปทานด้านที่อยู่อาศัย ชี้ให้เห็นการชะลอตัวในภาพรวม โดยอุปทานต้นน้ำ ได้แก่ สถิติใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน สถิติใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบ สถิติใบอนุญาตที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูง ในระดับทั่วประเทศและในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ได้ชะลอตัวลงแล้วในช่วงสองปีที่ผ่านมา ในขณะเดียวกัน ตัวเลขอุปทานปลายน้ำ คือ สถิติที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน ซึ่งเป็นผลพวงจากใบอนุญาตในช่วง 1-3 ปีที่แล้วก็เริ่มชะลอตัวเช่นกัน สำหรับในจังหวัดหัวเมืองใหญ่อื่นๆ พบว่าสถานการณ์ไม่แตกต่างกันมากนัก จำนวนหน่วยใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบทั่วประเทศลดลงประมาณร้อยละ 5 ในจังหวัดชลบุรี พบว่าจำนวนการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบสูงสุดในปี 2548ซึ่งมีมากกว่า 26,000 หน่วยและลดลงเหลือประมาณ 22,000 หน่วยในปี 2549 และ 2550 สำหรับในปี 2551 คาดว่าจะมีประมาณ 16,000 หน่วย จังหวัดนครราชสีมา จำนวนการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบสูงสุดในปี 2548 ซึ่งมีมากกว่า 19,000 หน่วย แต่ลดลงมากจนเหลือประมาณ 14,000 หน่วยในปี 2550 สำหรับในปี 2551 คาดว่าจะมีประมาณ 14,000 หน่วย จังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวนการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบสูงสุดในปี 2546 ซึ่งมีมากกว่า 11,000 หน่วยและค่อนข้างคงที่จนถึงปี 2548 ก่อนจะลดลงในปี 2549 และ 2550 สำหรับในปี 2551 คาดว่าจะมีเพียงประมาณ 8,000 หน่วย จังหวัดภูเก็ต มีจำนวนการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบสูงสุดในปี 2548 ซึ่งมีประมาณ 8,000 หน่วย ลดลงเหลือประมาณ 6,100 หน่วยในปี 2549 ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 7,000 หน่วยในปี 2550 สำหรับในปี 2551 คาดว่าจะมีเพียงประมาณ 6,000 หน่วย สำหรับพื้นที่ใบตามอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูงไปเติบโตมากในจังหวัดชลบุรี ภูเก็ต และเชียงใหม่ โดยมีแนวโน้มเพิ่มสูงมาตั้งแต่ปี 2548 โดยเฉพาะในจังหวัดชลบุรี พื้นที่ก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูงต่ำกว่า 200,000 ตารางเมตรต่อปีมาตลอด แต่เพิ่มอย่างรวดเร็วเป็น 490,000 ตารางเมตรในปี 2548 และเพิ่มขึ้นอีกมากเป็น 836,000 ตารางเมตรในปี 2549 และเป็น 854,000 ตารางเมตรในปี 2550 ในครึ่งแรกของปี 2551 มีพื้นที่ก่อสร้างตามใบอนุญาตก่อสร้างมากถึง 676,000 ตารางเมตร และทั้งปีอาจใกล้เคียง 1 ล้านตารางเมตร เป็นอัตราการเพิ่มที่รวดเร็วและพึงระมัดระวังอย่างยิ่ง ในจังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ก่อสร้างตามใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูงเพิ่มขึ้นรวดเร็ว จากไม่ถึง 40,000 ตารางเมตรในปี 2548 เป็น 184,000 ตารางเมตรในปี 2549 และ 271,000 ตารางเมตรในปี 2550 และในครึ่งแรกของปี 2551 มีพื้นที่ก่อสร้างตามใบอนุญาตก่อสร้าง 156,000 ตารางเมตร คาดว่าทั้งปี 2551 ประมาณ 250,000 ตารางเมตร จังหวัดภูเก็ต พื้นที่ก่อสร้างตามใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูงเพิ่มขึ้นรวดเร็วก่อนเชียงใหม่ คือเพิ่มจากประมาณ 24,000 ตารางเมตรในปี 2546 เป็น 71,000 ตารางเมตรในปี 2547 เป็น 149,000 ตารางเมตรในปี 2548 และเป็นมากกว่า 195,000 — 196,000 ตารางเมตรในปี 2549 และปี 2550 ทั้งสองปี และในครึ่งแรกปี 2551 มีพื้นที่ก่อสร้างตามใบอนุญาตก่อสร้างแล้วถึง 273,000 ตารางเมตร คาดว่าทั้งปี 2551 ประมาณ 400,000 ตารางเมตร สินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปปล่อยใหม่ สถาบันการเงินทุกประเภทปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่ผู้บริโภครวมกันประมาณ 270,000 ล้านบาทในปี 2550 เพิ่มขึ้นจากระดับ 263,000 ล้านบาทในปี 2549 แต่ต่ำกว่าระดับ 279,000 ล้านบาทในปี 2548 โดยก่อนหน้านั้นสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปปล่อยใหม่เคยสูงกว่า 290,000 ล้านบาทในปี 2546 และ 2547 สำหรับไตรมาสแรกปี 2551 ปริมาณสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปปล่อยใหม่มีประมาณ 49,900 ล้านบาท แต่หลังจากมีมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ มีการปล่อยสินเชื่อมากถึงเกือบ 80,000 ล้านบาทในทั้งไตรมาสสองและสาม เมื่อรวม 3 ไตรมาสแรกมีการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ประมาณ 209,000 ล้านบาท แต่คาดว่าสินเชื่อในไตรมาสสุดท้ายจะลดลงมากตามความเชื่อมั่นที่ถดถอย รวมทั้งปีอาจมีการปล่อยสินเชื่อประมาณ 250,000 — 260,000 ล้านบาท ปริมาณสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปคงค้างในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1.55 ล้านล้านบาท สูงใกล้เคียง เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2550 ซึ่งอยู่ที่ 1.47 ล้านล้านบาท อสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2552 ผูกกับปัจจัยสำคัญ คือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์ซึ่งรัฐบาลพยายามประคับประคองให้สามารถฝ่าวิกฤตการเงินและเศรษฐกิจโลกไปได้ รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยซึ่งมีแนวโน้มลดต่ำลงได้อีก อุปสงค์ของที่อยู่อาศัยในสถานการณ์เศรษฐกิจปกติจะมีแรงขับเคลื่อนไปได้ แม้จำนวนหน่วยคอนโดมิเนียมจะสูงไปในบางพื้นที่ อย่างไรก็ตามปัญหาหลักของปี 2552 เป็นปัญหาด้านอุปสงค์หรือความต้องการซื้อที่จะหดตัวลงรวดเร็ว ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ออกคำเตือนภาคอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม แนะนำผู้ประกอบการให้ชะลอการเปิดโครงการใหม่ หรือลดขนาดโครงการใหม่ เร่งรัดโครงการเดิมให้เสร็จสิ้นเพื่อรับประโยชน์จากมาตรการของรัฐ รักษาสภาพคล่อง ยอมขาดทุนกำไร และลดต้นทุนเท่าที่ทำได้ ซึ่งภาคผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้ขานรับและดำเนินแนวทาวงดังกล่าว ความตั้งใจจริงของรัฐบาลใหม่ ในการผลักดันมาตรการใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นสิ่งที่น่าชมเชย การกำหนดระยะเวลาในการใช้มาตรการก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ควรเน้นการกระตุ้นกำลังซื้อสำหรับผู้ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยที่แท้จริง และป้องกันการเก็งกำไร ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้มาตรการกระตุ้นสามารถผ่อนคลายวิกฤตในปัจจุบัน แต่เป็นเชื้อสำหรับวิกฤตอื่นในอนาคต

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ