บทสัมภาษณ์ “น้อย-กฤษฎา สุโกศล แคลปป์” กับบท “น้ากันต์” อีกหนึ่งการแสดงสมจริง ใน “ความสุขของกะทิ”

ข่าวบันเทิง Monday December 29, 2008 15:38 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--29 ธ.ค.--สหมงคลฟิล์ม ผ่านการแสดงมาแล้วหลายเรื่อง (หัวใจทรนง, ทวารยังหวานอยู่, 13 เกมสยอง) แต่กับเรื่องล่าสุด “ความสุขของกะทิ” นักแสดงมากความสามารถอย่าง “น้อย-กฤษฎา สุโกศล แคลปป์” บอกเองเลยว่า เรื่องนี้ดูเป็นมนุษย์ธรรมดาที่สุดแล้วกับบทบาท “น้ากันต์” หนุ่มผู้ลุ่มลึก สุขุม จริงใจ ที่เป็นอีกหนึ่งแรงใจที่พร้อมจะส่งให้ชีวิตของหนูน้อยกะทิก้าวไปในทางที่ดีอย่างที่เธอต้องการ บทบาท-คาแร็คเตอร์ของน้ากันต์ในเรื่องนี้เป็นอย่างไร น้ากันต์เป็นเพื่อนรุ่นน้องของแม่กะทิ ก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะใจเย็น นิ่ง ๆ ขรึม ๆ หน่อย แล้วก็เป็นคนที่รักครอบครัวของกะทิอย่างมาก โดยเฉพาะที่เคยรักแม่ของกะทิมาก่อน ในช่วงเวลานี้ที่ครอบครัวของกะทิอาจจะยังเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่กดดันเหมือนกันก็เลยอยากมาช่วยครับ เรื่องที่แล้ว ๆ เหมือนอย่างที่ทุกคนว่า คือเป็นบทที่เป็นคนไม่ปกติ แต่เรื่องนี้เป็นคนปกติหน่อย เป็นมนุษย์ที่สุดแล้วครับ ผมถ่ายทำเรื่องนี้แล้วผมได้เห็นเสื้อผ้าของแต่ละชุดก็แบบ หูย...ดูรองเท้าก็เป็นคนทำงานออฟฟิศมาก ๆ (หัวเราะ) มีโอกาสได้อ่านหนังสือเรื่อง “ความสุขของกะทิ” มาก่อนหรือเปล่า จริง ๆ เคยได้ยิน แต่ยังไม่เคยอ่านครับ ครั้งแรกที่ผมได้ทราบว่าจะมีโอกาสเล่นหนัง “ความสุขของกะทิ” ก็คือว่าตอนนั้นไปเมืองนอกประมาณสองสามอาทิตย์ พอผมกลับมาเมืองไทยในไปรษณีย์มีหนังสือ “ความสุขของกะทิ” แล้วก็มีโน้ตจากคุณงามพรรณมาชวนเล่นหนังเรื่องนี้ เหตุเพราะว่าผมเคยเล่นคอนเสิร์ตการกุศลให้กับวง Ionion วงที่เขาบอดกันหมด มาเป็น Guest ให้เขา แล้วผมก็ร้อง Live and Learn เผอิญวันนั้นคุณงามพรรณก็อยู่ในกลุ่มคนดูแล้วก็เห็นความสัมพันธ์ของผมกับวง ความอบอุ่นอะไรอย่างนี้ ก็เลยสังเกตตรงนี้ในคาแร็คเตอร์ตัวของผมที่สามารถสื่อสารตรงนี้ได้กับเด็ก และเหมาะกับภาพยนตร์ของเขาด้วย แล้วเขาก็บอกว่าผมดูลึก เหมือนน้ากันต์ที่จะมีโลกส่วนตัวหน่อย รวมทั้งผู้กำกับและพี่เจนเขาก็อยากเห็นผมเล่นบทปกติหน่อย ไม่ต้องมาประหลาด ๆ เหมือนที่แล้วมา อยากให้คนดูเห็นมุมนี้ของตัวเราด้วยมั้งครับ ก็เลยชวนมาเล่นเป็นน้ากันต์ ผมว่าเมื่อไหร่ที่คนเขียนหนังสือมาชวนเราเล่นเนี่ย มันทำให้เรารู้สึกดีจริง ๆ นะครับ แต่พอทราบว่าจะเล่น ก็อ่านนะครับ ผมอ่านเวอร์ชั่นภาษาอักกฤษนะครับ ผมว่ามันอ่านแล้วเหมือนเด็กเล่านิทานน่ะครับ แต่ว่ามันลึก ชอบตรงนี้ครับ บทบาทของน้ากันต์เหมือนหรือต่างจากตัวพี่น้อยมากแค่ไหน น้ากันต์ก็มีทั้งเหมือนและไม่เหมือน ไม่เหมือนก็คือประวัติของเขาโดยรวมแล้วก็น่าจะเป็นคนที่คุมอารมณ์ได้ดีกว่าผม แต่ผมก็พอคุมอารมณ์ได้ แต่ว่าที่ต่างเลยก็คือ น้ากันต์อาจจะเป็นคนที่ไม่ได้กล้าโชว์ความรู้สึกจริง ๆ ของเขา อย่างผมบนเวทีที่เคยเห็นมาก่อนก็จะกล้าโชว์เต็มที่ น้ากันต์คงจะมีกำแพงมากกว่าผมนะครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 4 ได้เปลี่ยนบทบาทอีกครั้ง รู้สึกอย่างไร ก็รู้สึกดีใจเหมือนกันที่เจนผู้กำกับแล้วก็คุณเจน-งามพรรณได้เห็นอีกภาพหนึ่งของผม ก็เลยชวนผมเล่นในหนังเรื่องนี้ เพราะว่าผมก็เข้าใจว่าผู้กำกับหลายคนจะมองว่าเราจะต้องเล่นเป็นบทคาแร็คเตอร์ที่ซับซ้อนแรง ๆ แต่พี่เจนก็บอกว่าอยากได้คาแร็คเตอร์น้อยแบบที่เคยเห็นน้อยสัมภาษณ์ตอนนั้นแหละจะเย็น ๆ ง่าย ๆ เลยดีใจที่เขาชวนผมมาเล่น ขอบคุณมากเลยครับ ตัวน้ากันต์เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับครอบครัวกะทิได้อย่างไร ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างน้ากันต์กับแม่ของกะทิเริ่มมาจากสมัยก่อนที่อาจจะไม่ได้อยู่ในหนัง การที่เคยทำงานร่วมกันคุณแม่ของกะทิที่เป็นหัวหน้า น้ากันต์ชื่นชมในด้านการงานเธอมาตลอดและก็ชอบหน้าตาด้วย ก็เลยเคยหลงชอบรักมาก แต่ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แล้วพอคุณแม่ของกะทิเริ่มป่วย ก็เริ่มอยากเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของเธอที่อยากจะช่วย เพราะน้ากันต์ทราบดีอยู่แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดของคุณแม่กะทิ ก็คือลูกของเธอ-กะทินั่นเอง น้ากันต์ก็เต็มที่จะช่วยกะทิค้นหาคำตอบของชีวิตให้ได้ ด้านการแสดงของน้องพลอยที่เล่นเป็นกะทิ เป็นอย่างไรบ้าง ก่อนอื่นผมว่าน้องพลอย Perfect มาก เขาเป็นคนที่มองหน้าเขาแล้วไม่เบื่อ มองได้เรื่อย ๆ เป็นคนที่ Natural และเป็นเด็กที่ติดดินจริง ๆ เวลาที่เห็นเขาแล้วเหมือนเห็นทะเล มันรู้สึกดีครับ น้องพลอยนี่เรียกได้ว่าเป็น Perfect Casting จริง ๆ เลือกคนได้ถูกต้องเลยสำหรับบทกะทินี้ แม้เธอจะมีความโศกเศร้าในใจเล็กน้อย เธอเป็นตัวจุดประกายที่ทำให้ทุกคนมารวมตัวกันให้รักกัน ทำให้น้ากันต์กับน้าฎามารักกันด้วย มาเข้าใจกันโดยที่เธออาจจะไม่ทราบเลยตรงนี้ เพราะเด็กหลายที่จะไม่ทราบว่าความ Positive ของเธอนี้มันกำลังโดนทุกคน ผมคิดว่าคาแร็คเตอร์ของพลอยจะโดนคนดูด้วยครับ ฉากสำคัญระหว่างน้ากันต์และกะทิอย่างฉากบนชายหาด ฉากนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ผมว่าฉากที่กะทิร้องไห้เต็มที่บนชายหาด ฉากนั้นเป็นฉากที่น้ากันต์กับกะทิได้ connect กันและกันเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้น รู้ว่าในระยะเวลาสั้น ๆ เนี่ย น้ากันต์อาจจะเป็นคุณพ่อให้เขาได้หรือเปล่า เป็นคุณพ่อได้ในระดับหนึ่ง สำหรับผมเรื่องที่ผ่านมาที่เคยเล่น มันจะมีหลายครั้งที่เราตะโกนร้องไห้หลายครั้งมันจะเกี่ยวกับตัวเรา แต่นี่มันเป็นช่วงที่เกี่ยวกับตัวกะทิแล้วเราต้องคอยพยุงเขาหน่อย มันก็ท้าทายในตรงนี้ด้วยนะครับ เป็นฉากที่สบายในด้าน Location บางทีมันอยู่ในห้องมันจะกดดัน แต่อันนี้มันอยู่บนทะเลแล้วก็มีม้าวิ่ง สบายช่วงเวลา 5-6 โมงเย็น ต้องรีบถ่ายให้เสร็จเพราะแดดมันจะลงแล้ว แม้มันจะเศร้าแต่มันมีความ Relax มีความสบาย นี่แหละคือชีวิต แต่ฉากนั้นก็สงสารเขานิดหน่อยนะครับ เพราะว่าหลังจากคุยกับเขาแล้วบนชายหาด เขาก็ต้องวิ่งร้องไห้แล้วก็มีรถมาถ่ายเขาอยู่ครับ แล้วตอนผู้กำกับอยู่บนรถเขาก็บอกว่า “ปล่อย ๆ ปล่อยให้มันออกมาเลย” แล้วเขาก็วิ่งแล้วก็ร้องไห้โฮ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงผู้กำกับตะโกนออกมาไกล ๆ ว่า “ปล่อย ๆ ปล่อยให้มันออกมาเลย” ผมเห็นก็สงสารและก็น่ารักดี ทั้งน่ารักทั้งชื่นชมครับ (ยิ้ม) พี่น้อยมีส่วนช่วยส่งอารมณ์ให้น้องเขาอย่างไรบ้างในฉากนั้น ตอนที่เล่นกับพลอยรู้สึกว่าพลอยไม่ได้มีไดอะล็อคพูดกับผมเลยครับ และเป็นการที่เราต้องช่วยพยุงเขามากกว่า กล่อมเขามากกว่าครับ เวลาพูดคุยกับเขาเวลานั้นเราพยายามไม่อยากให้เขาร้องไห้น่ะครับ เราก็ส่งแบบเปรียบเหมือนเราเป็นเด็กอายุเท่าเขาไม่ได้เป็นน้า-หลาน จริง ๆ ผมอยากให้มันมีเวลาอินในอารมณ์มากกว่านั้น เพราะตอนนั้นเรากำลังถ่ายช่วงเวลา Magic Moment ช่วงระหว่าง 5-6 โมง เลย แบบประมาณว่าอยากได้อีกเทคโน่นนี่ และพอดีในซีนนั้นมีม้าด้วยครับม้าก็ไม่ยอมอยู่นิ่งก็ต้องรีบ ๆ กันหน่อยครับ แต่ก็โอเคนะครับ ร่วมงานกับเชอร์รี่ (เข็มอัปสร สิริสุขะ) ในเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง การร่วมงานกับเชอร์รี่ผมว่ามันก็เหมือนกับหลายคนที่ผมไม่รู้จักเขา ผมก็จะมองเชอร์รี่เขาเป็นดารา เพราะเขาก็แสดงมาตั้งนานแล้ว แล้วก็เห็นเชอร์รี่เขาผ่านทางโทรทัศน์, โฆษณา ไม่เคยเห็นตัวจริงมาก่อนครับเวลาเห็นครั้งแรกเลยไม่กล้าพูดมาก เห็นครั้งแรกมันไม่ต่างกับที่ผมได้เห็นจูเลีย โรเบิร์ตสนะครับ เห็นในโทรทัศน์มานานแล้ว พอมาเจอตัวจริงมันก็เลยเขิน ๆ นิดหน่อยตอนแรก ๆ แต่พอร่วมงานกันรู้จักกันไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มสังเกตเห็นความเป็น Professional ของเขาครับ อย่างเช่นเขาสามารถร้องไห้ได้ปุ๊บ แต่สำหรับผม 3-4 เทคกว่าจะได้แต่เขาเทคนึงให้ร้องไห้คำนี้ก็ทำได้ น้ำตาหยดเดียวก็ทำได้ ผมเลยดีใจมากที่ได้ร่วมงานกับเชอร์รี่โดยเฉพาะซีนที่เราเข้าฉากร่วมกัน คือทั้งเรื่องเรามีแค่ซีนเดียวที่นั่งคุยกันครับ ที่คุยกัน 2 คนแค่ครั้งเดียว แล้วในซีนนั้นเราต้องสื่อสารว่าฉันชอบเธอนิดหน่อยนะ มันต้องสื่อสารตรงนี้ด้วย โดยในเวลาเดียวกันที่เราต้องพูดถึงกะทิและคุณแม่ของกะทิด้วย มันมีหลายสิ่งหลายอย่างในซีนน่ะครับ ก็สนุกดีครับ มีเรื่องขำ ๆ ก็คือฉากที่เราถ่ายกันที่หัวหิน แล้วเผอิญพ่อผมก็เกษียณอยู่ที่หัวหิน ผมก็เลยชวนพ่อผมมาดูในฉากวันนั้น พอพ่อผมเห็นเชอร์รี่ พ่อก็เลยทัก “Hello, are you Sinjai?” (สวัสดีครับ ใช่คุณสินจัยหรือเปล่าครับ) ผมก็เลยบอกว่า ปัดโธ่พ่อ นี่เชอร์รี่ครับ ตอนหลังพ่อก็เลยบอกว่า “She is pretty” นะ ก็เลยดีใจมาก ฉากที่เล่นกัน 2 คนเล่นกันอยู่นานมั้ย ก็ไม่นานนะครับเพราะถ่ายช่วงเช้า ก็เลยมีเวลาเยอะเหมือนกัน ไม่นานมาก แต่รู้สึกว่ามันเงียบเพราะมันเป็นฉากที่น้ากันต์กับน้าฎา Connect กัน มันก็เลยต้องตั้งใจหน่อยต้องเล่นให้มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ให้คนดูทราบว่าเรา connect กัน และเริ่มสังเกตว่าเราชอบคน ๆ นี้แล้วนะ สำหรับผมฉากที่ยากที่สุดจะเป็นฉากที่ถ่ายกับเชอร์รี่บนชายหาด 2 คนากนี้แหละครับ สำหรับผมมันเป็นฉากที่ต้องใช้สมาธิมากที่สุดไม่รู้ว่าทำไม ซึ่งเล่นกันแค่ 2 คนแล้วก็คุยกันง่าย ๆ มันเป็นฉากที่ท้าทาย แล้วก็ยากสุดสำหรับตัวผมเลยนะครับ กับพี่ไมเคิล (เชาวนาศัย) นี่คือครั้งที่ 2 แล้วที่ได้มาร่วมงานกัน ใช่ครับ ผมกับไมเคิลเคยร่วมงานกันในหนังเรื่อง “หัวใจทรนง” (The Adventure of Iron Pussy) ผมยังเคยจูงมือกันและกันมาก่อนในหนังเรื่องนั้น เล่นเป็นแฟนกันครับ ก็ดีใจมาก ที่คราวนี้ได้มาเล่นเป็นคนปกติหน่อย ไมเคิลด้วยนะครับคราวนี้ก็ได้เล่นปกติด้วย ผมสนุกกับไมเคิลเวลาเขาแสดง เพราะว่าเขาจะมีไอเดียเสมอ เพราะเขาก็เป็นผู้กำกับเหมือนกันเวลาเขาจะเล่นซีนโน้น ซีนนี้ เขาอยากจะลองตรงโน้นตรงนี้มันเลยทำให้เราอินไปกับซีนด้วย แล้วไมเคิลเค้าก็ฉวยโอกาสชวนผมกับเชอร์รี่มาเล่นหนังด้วย หนังที่เขากำลังจะกำกับเร็ว ๆ นี้ ตลกดีเหมือนกันครับ พูดถึงตากับยายเป็นอย่างไรบ้างกับการได้ร่วมงานกับนักแสดงชั้นครู ฉากที่เล่นกับแม่แมวกับอาสะอาดก็มีประมาณสัก 2 ฉาก ฉากชายหาดที่ทุกคนรวมตัวกันที่บ้านแล้วก็ฉากที่เรากลับไปอยุธยาเป็นบ้านเรือนไทยก็จะได้เต้นรำด้วยกัน สำหรับอาสะอาดกับแม่แมว ผมรู้สึกเป็นเกียรติและรู้สึกดีเวลาที่ผมได้สัมผัสกับนักแสดงที่เป็นส่วนหนึ่งของ History of Thai Filmmaking เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของการทำหนังไทยครับ เวลาเห็น Generation ของนักแสดง 2 คนนี้การที่เขาแสดงเขาอยู่ในวงการนี้มาตั้ง 40-50 ปีมาแล้ว มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ เวลาที่ผมอยู่กับเขามันทำให้ผมอยากทราบว่า สมัยเขารุ่นเราเขาหน้าตาเป็นยังไง สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างหนึ่งกับหนังเรื่องนี้คือมันจะมีนักแสดงแต่ละ Generation มารวมตัวกัน มันจะมีจาก Generation ของอาสะอาดกับแม่แมว มีนักแสดงอย่างผม มีพี่นกด้วยที่ไม่ได้แสดงมาตั้งนานล้ว มันมีหลายวิญญาณมารวมกัน ผมว่ามันทำให้ทุกอย่างน่าสนใจขึ้น สนุกดี แล้วเวลาเราได้เล่นกับ 2 คนนี้ เรารู้สึกเป็นเกียรติมาก แล้วเวลาได้แสดงกับนักแสดงที่พวกเขาผ่านมาเยอะจนรู้สึกว่าไม่ต้องมีอีโก้แล้ว การเป็นตัวของตัวเองกล้าพูด เราอยากเป็นอย่างนั้นบ้าง ดีใจจริง ๆ ที่ได้เห็นของจริง ความเป็น Professional ของทั้ง 2 คน แล้วก็ในซีนสุดท้ายที่ทุกคนได้มาเต้นรำด้วยกัน มารวมตัวกันก็รู้สึกดี ประทับใจมาก ดีใจมาก ๆ ครับ ฉากเต้นรำฉากนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ฉากเต้นรำจริง ๆ เราก็ไปเรียนเต้นรำมา พอไปเต้นก็แบบว่าเราน้อยวงพรู เต้นได้สบายแบบนี้ต้องมาฝึกซ้อมทำไมง่ายจะตาย พอเต้นสไตล์แบบนี้มันยากจริง ๆ ผมพยายามเต้นพลิ้ว คุณครูก็บอกว่าไม่ใช่ น้อยต้องเต้นแบบนี้ ก็เลยเฮ้ย...เราอาจจะต้องฝึกมากกว่านี้อีก ก็เลยโอเค เต้นแทงโก้ก็ต้องแบบนี้ แต่พอมาถ่ายจริงที่เรียนกันมาก็ลืมหมดเลย ก็เลยกลายเป็นฉากที่สบาย ๆ มากกว่า เพราะพอถึงฉากนั้นที่เป็นฉากสุดท้ายแล้วทุกคนก็เริ่มรู้จักกันดีแล้วเต้นรำด้วยกัน ก็เริ่มโจ๊กกันและกันได้ ผมว่ามันเป็นอารมณ์จริงที่มันควรจะถ่ายทอดออกมาจากภาพยนตร์ได้ ประทับใจฉากไหนมากที่สุด มันจะมี 2 ฉากที่ผมประทับใจ ฉากหนึ่งก็เป็นฉากที่ได้เล่นกับเชอร์รี่เพราะว่าสามารถได้แสดงส่งให้กันและกัน เพราะว่าในเรื่องผมมีแค่ 2 ฉากที่สามารถส่งอารมณ์กันและกันมีฉากนี้กับเชอร์รี่ และฉากที่เข้ากับน้องพลอย ส่วนอื่นก็จะเป็นฉากที่รวมครอบครัวซึ่งนั่นก็เป็นอีกฉากที่ผมชอบ เพราะเป็นฉากหนึ่งที่ทุกคนอยู่ด้วยกันที่บ้านหน้าทะเล และเป็นฉากที่เราทานอาหารด้วยกัน แล้วก็...สำหรับนักแสดงเนี่ยเป็นฉากแรกที่ทุกคนอยู่ด้วยกันและก็ได้รู้จักกันและกัน มันมี Spirit มันได้ Spirit ฉากนั้นผมก็ประทับใจ แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรมากมาย การร่วมงานกับผู้กำกับเป็นอย่างไรบ้าง นี่ก็เป็นเรื่องแรกที่ได้ร่วมงานกับเจนด้วยนะครับ ผมว่าสิ่งที่ได้เห็นคือ Passion ของเขานะครับที่เขารักเรื่องนี้มาก และการที่เขากำกับน้องพลอย ผมว่าการกำกับเด็กมันไม่น่าจะง่ายนะครับ เห็นที่เขาต้องมี Relationship กับน้องพลอยเพื่อที่จะดึงบางสิ่งบางอารมณ์ของน้องพลอยออกมา ผมก็ชอบ Observe ตรงนี้ ผมว่าน่าสนใจดีครับเท่าที่ผมสังเกตนะครับ ตั้งแต่เล่นมามีปัญหาในการแสดงบ้างไหม สำหรับตัวผมอุปสรรคไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายถึงขนาดนั้นถ้าพูดเรื่องถึงความกดดัน เรื่องนี้มันมีทีมงานเป็นครอบครัว เนื้อเรื่องเป็นครอบครัว มันไม่ใช่ว่าเราเป็นคนเดียวที่เป็นพระเอกที่ต้องพยุงหนังอะไรอย่างนี้นะครับ มันมีหลายคนที่ช่วยมาพยุงหนัง ผมไม่รู้สึกถึงความยากลำบากอะไรขนาดนั้น ผมรู้สึกว่ามีความสุขมากกว่ากับหนังเรื่องนี้ ตั้งแต่ถ่ายทำมาประทับใจจุดไหนบ้างกับการได้เล่นหนังเรื่องนี้ ผมประทับใจ...ก่อนอื่นคือที่เราเล่นหนังมันมีความน่าสนใจที่แบบว่าบทนี้น่าเล่น น่าจะมัน น่าจะสนุก น่าจะท้าทาย เราอยากเล่นเพราะสคริปต์มากกว่า เราอยากเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้สคริปต์นี้นั้นเป็นสิ่งที่ผมอยากเล่น “ความสุขของกะทิ” จริง ๆ ผมก็ภูมิใจที่ผมได้มีส่วนร่วม สิ่งที่ผมประทับใจมากคือได้มีส่วนร่วมจริง ๆ ในหนังสือของคุณงามพรรณ ได้มารู้จักนักแสดงแต่ละคนจากรุ่นเล็กมารุ่นโต รุ่นผม หนังเรื่องนี้ได้ถ่ายมาเป็นเวลา 7-8 เดือนแล้ว พอได้เจอกันอีกที (ตอนถ่ายโปสเตอร์) มันก็เป็นบรรยากาศครอบครัวอีกทีหนึ่ง มันไม่เหมือนกับเรื่องอื่น ๆ ตรงนี้ดีใจมากครับ ตัวพี่น้อยมีความกดดันบ้างไหมทึ่ได้เล่นหนังที่สร้างมาจากรางวัลซีไรต์ สำหรับผมมีความกดดันเสมอที่จะเล่นภาพยนตร์ เพราะเราต้องเข้าใจว่าการที่เขาเลือกคนมาเล่นเราโชคดีแค่ไหนที่มีคนตั้งเยอะแยะ แต่เขามาเลือกคุณ เราต้องเต็มที่จริง ๆ ที่มันเป็นหนังสือที่เคยชนะรางวัลซีไรต์ ยิ่งเรารู้ว่ามีคนอ่านหนังสือนี้มาก่อน เราก็ต้องพยายาม มันมีความกดดันตรงนี้ด้วย เพราะเราอยากให้เขาชอบทั้งหนังสือและหนังด้วย สุดท้ายแล้วผมคิดว่านั่นคืองานศิลปะ การร้องเพลงหรือว่าการเล่นหนังนั้น ความกดดันมันมีเสมอ รวมทั้งความสุขด้วย ความกดดันมันอยากจะทำให้หนังดีขึ้น อยากให้มัน Perfect ใจมันก็เลยเต็มที่มากขึ้นครับ ในเรื่องนี้มีวิถีแบบไทย ๆ ให้ได้สัมผัสด้วย ใช่ครับ มันก็มี Philosophy ของวัฒนธรรมเรานะครับกับการใช้ชีวิต แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดผมว่า มันเกี่ยวกับการที่ทุกคนที่สุดท้ายคือตัวเราเองแหละที่ตัดสินใจได้ว่าเราอยากจะดำเนินชีวิตยังไงครับ แต่มันก็ดีถ้าเกิดมีคนช่วยพยุงเราด้วย เป็นไกด์เราเหมือนที่เราช่วยกะทิในเรื่องนี้ครับ คาดหวังกับหนังเรื่องนี้อย่างไรบ้าง เพราะหนังไทยไม่ค่อยมีแนวนี้ออกมาซักเท่าไหร่ กำลังคิดอยู่ว่าจะพูดอะไรที่นอกเหนือจากการที่อยากให้ทุกคนมาดู ซึ่งมันแน่นอนอยู่แล้วคืออยากให้ทุกคนสนุกอยู่แล้วกับหนังเรื่องนี้ ผมว่ามันมีบทเรียนที่ไม่ได้มาจากผู้ใหญ่อย่างเดียว แต่โดยเฉพะมาจากเด็กคนนี้น่ะครับ มันทำให้เรารู้ว่าเราสามารถเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตผ่านเด็กอายุ 12 ขวบ ได้ผมก็อยากให้ทุกคนมาสัมผัสกับตรงนี้เหมือนกัน ความน่าสนใจโดยรวมของเรื่องนี้ คนดูจะได้รับอะไรจากหนังเรื่องนี้บ้าง ที่ทุกคนจะได้รับกับหนังเรื่อง “ความสุขของกะทิ” ก็คือว่า เราจะทราบว่า สุดท้ายครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ผมรู้สึกว่าผมเข้าใจว่าตอนที่ถ่ายหนังเรื่องนี้ ภรรยาผมเพิ่งคลอดลูกชายผมพอดี มันเป็นส่วนหนึ่งที่ผมอยากเล่นด้วยนะ มันทำให้ผมรู้ว่าแต่ละคาแร็คเตอร์ในหนังมีปัญหาส่วนตัวเหมือนคนทั่วไปในชีวิต มันเป็นธรรมชาติที่เราต้องเห็นแก่ตัวหน่อย เพราะนี่คือชีวิต เราอยากทำสิ่งที่เราอยากทำ ตรงนี้มันทำให้เรารู้ว่าครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดจริง ๆ เด็กคนนี้...ครอบครัวของกะทิทุกคนยอมเสียสละเพื่อเธอและเพื่อครอบครัวครับ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ