Interview: สัมผัสเคล็ดลัดความงาม กับ "ก้อย — ฐิณฎา เปี่ยมพงศ์สานต์" Skin Consultant

ข่าวทั่วไป Friday February 13, 2009 17:44 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--13 ก.พ.--คลาวด์ไนน์ คอมมิวนิเคชั่นส์ ตั้งแต่จำความได้ก็นั่งอยู่บน Counter รับยาคอยช่วยคุณแม่ใส่ยาเข้าไปในถุง ก็อยู่กับคลินิกมาตั้งแต่เกิด จากคลินิกเล็ก ๆ แค่ห้องเดียวที่มีคุณพ่อตรวจอยู่คนเดียว จนขยายไปเป็นตึกมีหมอหลายคน เราเห็นการเปลี่ยนแปลงมาตลอด จากลูกค้าเยอะๆ แล้วก็เยอะมากขึ้น แต่พอรถเริ่มติดมากขึ้น ลูกค้าต้องใช้เวลานานกว่าจะเดินทางมาถึง แถมไม่ค่อยมีที่จอดรถ หรือบางทีลูกค้าก็โดนใบสั่งบ้าง จึงทำให้จำนวนลูกค้าลดลงมาเรื่อย ๆ คุณพ่อเคยออกตลาดครั้งหนึ่งแต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก ตอนนั้นก้อยอายุประมาณ 10 ขวบ แต่เพราะเราเป็นเด็กจึงไม่สามารถ ออกความคิดเห็นอะไรได้ ตอนนี้เรียนจบแล้ว (จบแล้วจบอีก) เห็นว่ามันมีโอกาสที่จะปรับปรุงและก็ทำให้ดีขึ้นได้ ใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณพ่อมาตั้งแต่เด็ก ๆ เริ่มจากใช้สบู่เหลวก่อน ตอนเด็ก ๆ ก็เหมือนเด็กทั่วไป เพราะเราเห็นว่าผิวเราไม่ได้เป็นอะไร ก็ดีอยู่แล้ว (แต่ดำ) เราไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้อะไรมากมาย หน้าก็ไม่เป็นสิว แต่คุณแม่ต้องคอยเตือนให้ใช้อยู่เสมอ เพื่อรักษาความสะอาด ตอนนั้นที่ใช้บ้างก็มีแต่ครีมทาผื่นเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น เราขี้เกียจ ไม่ค่อยชอบใช้ครีมกันแดดเพราะรู้สึกว่าทาแล้วมัน ถึงยังไงก็ดำอยู่แล้ว เดินหลบร่มเอาแล้วกัน พออายุ 16 ปี ไปเรียนเมืองนอก ผิวแห้งมาก ก็เลยเป็นเหตุที่ทำให้ต้องเริ่มใช้ครีมบำรุงผิว แบบธรรมดาเอาไม่อยู่ต้องแบบที่ใช้สำหรับผิวแห้งมาก ทาตั้งแต่หน้าจรดเท้า ช่วงนั้นกลายเป็นว่าผิวดีมาก เนียนทั้งตัวเลย พอโตขึ้นมาอีกหน่อยก็เริ่มแต่งหน้า ยังไม่ได้ใช้รองพื้น แต่ก็ยังไม่ได้ใส่ใจในการล้างหน้าเท่าไหร่ แค่ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าเท่านั้น แต่ไป ๆ มา ๆ เริ่มมีเหมือนเป็นผื่นขึ้น ก็รีบถามพ่อว่าเป็นอะไร พ่อบอกว่ามันเกิดจากการที่เราล้างหน้าไม่สะอาด ก็เลยเปลี่ยนมาใช้เจลล้างหน้าของพ่อ ชอบมากเพราะใช้แล้วรู้สึกสะอาดแล้วก็เย็นดี จากนั้นก็ค่อย ๆ เริ่มสนใจเรื่องความสวยความงาม ใส่ใจในการดูแลรักษาผิวมากขึ้น บางครั้งสินค้าที่เห็นในโฆษณา ดูดี เราก็อยากใช้บ้างเลยไปลองซื้อของมียี่ห้อมาใช้ เพราะเค้าบอกต่อมาว่ามันดีมาก แหม! ของนอกมันก็น่าจะดีกว่าของไทย เราก็เลยซื้อยี่ห้อดังที่สุดในตอนนั้น สำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ ขวดสวยมาก ไปซื้อมาใช้กับเพื่อน ใช้เหมือนกันเลย ครั้งแรกที่ใช้หน้าเนียนเด้งได้ รู้สึกดีมาก คุยกับเพื่อนก็รู้สึกเหมือนกัน แต่พอใช้ไปได้ประมาณ 2 อาทิตย์ เริ่มรู้สึกคันขึ้นมาเล็ก ๆ ยิบยับตามหน้า เลยเลิกใช้ คุยกับเพื่อนอีกที เป็นเหมือนกันเลย ก็เลยกลับมาตายรัง ใช้ของคุณพ่อเหมือนเดิม แต่ก็ยังไม่เข็ด เอาอีก ลองอีกยี่ห้อ คราวนี้แป๊บเดียวรู้เรื่อง ผื่นขึ้นเป็นเม็ดเล็ก ๆ ไม่กล้าบอกพ่อ กลัวโดนบ่น ยังดีที่เรามีครีมทาผื่นที่ตัวอยู่แล้ว ใช้วันสองวันเดี๋ยวก็หาย พอเรียนจบนอกกลับมาตอนอายุ 24 หน้าใสเชียว ผิวเนียน มาเจออากาศเมืองไทย ทั้งร้อนทั้งแดดจัด เลยต้องเปลี่ยนครีมที่ใช้ให้มันเหมาะกับสภาพอากาศบ้านเรามากขึ้น บังเอิญคุณพ่อออกสูตรใหม่ Vitamin C ก็เลยได้ใช้ ตอนเช้าอย่าง ตอนเย็นอีกอย่าง พอเริ่มอายุย่างเข้า 26 “เอ๊ะ! ทำไมมีรอยดำบาง ๆ” ก็ไปถามคุณพ่อ คุณพ่อบอกว่า ” ผู้หญิงถ้าอายุเกิน 25 แล้ว ฝ้าจะเริ่มขึ้น เอ้า! ทำไมเพิ่งมาบอก ถ้าไม่มีพ่อแล้ว เราจะรู้มั๊ยเนี่ย คราวนี้เลยไม่ขี้เกียจแล้ว หันมาทาครีมกันแดดจนเป็นกิจวัตร เวลาทาหน้าจะมันนิด ๆ โชคดีที่เป็น Oil free โปะแป้งอีกนิดก็หายมันแล้ว คุ้มกว่าการเป็นฝ้าตั้งเยอะ ช่วงหลังนี้เราเริ่มใช้รองพื้น เลยต้องดูแลหน้าเป็นพิเศษ ล้างหน้า เช็ดหน้า ทาสารพัดครีม กลัวตีนกาขึ้น แต่ยังไม่วายอยากลองนวดหน้ากับเค้าดูบ้าง เห็นเค้าว่านวดแล้วดี แพ้เหมือนเดิม ก็เลยพยายามอยู่เฉยๆดีกว่า นวดเองแล้วกัน แต่มันก็ไม่สบายเหมือนที่คนอื่นนวดให้ ก็เลยยังสรรหาที่นวดหน้าอยู่ คราวนี้เลือกแล้วเลือกอีก เลยกลายเป็นเรื่องมากไปเลย แต่หน้าเรา เราก็ต้องดูแลดีๆ พอเรียนจบอีกทีก็อยากทำงานเกี่ยวกับ Skin Care นี่แหละ เพราะเราใช้มานาน พิสูจน์ด้วยตัวเอง เราใช้แล้วไม่แพ้ ก็เลยอยากจะออกตลาดบ้าง แต่ Package นี่สิ หมอมากๆ อยากทำแต่ทุกคนก็ไล่ให้ไปทำงานหาประสบการณ์ที่อื่นก่อน OK เอาก็เอา ลองไปทำงานดูก็ได้ จากนั้นก็ได้งาน Contract ที่เกี่ยวกับการ set ระบบ IT ซึ่งไม่ตรงกับที่เรียนมาเลยแต่ก็ชอบเพราะว่าใช้ Computer Ok เลย พอทำงานไปเรื่อย ๆ เริ่มคุยกับที่บ้านเกี่ยวกับอนาคตว่าเราจะทำอะไรดี ก้อยอยากทำเกี่ยวกับ Skin Care เนี่ยแหละ เพราะมีประสบการณ์อยู่กับมันมาตั้งแต่เกิด คุณพ่อก็ทำงานอีกไม่กี่ปี จะหาเงินเข้าบ้านได้ยังไง พี่เค้าก็ไปทางการเมือง เราชอบทาง Management กับ Marketing ก็เลยตกลงให้ก้อยทำอย่างที่อยากทำ ลองดูว่าจะ Work มั้ย กับวิธีการเข้าสู่ตลาด ที่วางแผนไว้มาตลอดเวลาหลายปี ก้อยเองก็อยากเรียนต่อด้วย เพราะถ้าทำงานของตัวเองก็สามารถหาเวลาเรียนได้ ก็เลยไปลงเรียน แต่พอเริ่มทำเองเข้าจริง ๆ มันเป็นช่วงเริ่มต้น ที่เราต้องวางระบบใหม่ทั้งหมด และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของที่บ้าน ก็เลยไม่มีเวลาที่จะเรียน ขอผลัดอาจารย์ไปเรื่อย ๆ ก้อยมีแผนในการวางระบบ เขียนเป็น Flow-Chart ว่าก่อนถึงวันเปิด ต้องทำอะไรบ้าง เป็นขั้นๆ ไป ก็ต้องทำทุกอย่างเองตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ เริ่มจากการ Set up Computer Flow เองว่าจะต้องเลือกการเก็บข้อมูลลูกค้ายังไง ขายยังไง Report ที่ต้องการเป็นแบบไหน เลือก Product Package ที่ต้องปรับปลี่ยน adapt ทำให้เข้าสมัย ดึงจุดเด่นออกมาใช้ จ้างคนทำงาน design logo กับ artwork ต่าง ๆ เค้าเสนอมาเราแก้ไป ให้คนอื่น Comment เรามาแก้กับ Designer บางทีก็ช่วยเค้าแก้ใน com เองเลย Interview คนมาทำงานเพิ่ม มาทำงานช่วยกัน Set ระบบใหม่หมด ช่วยกันเก็บ Information เกี่ยวกับ Product ที่จะขายและวิธีใช้ product เก็บข้อมูลทำ Sticker จัดแบ่งกลุ่ม Product แต่ละกลุ่ม Concept เป็นอย่างไร สำหรับใคร Packaging concept ควรเป็นแบบไหน ใช้เวลานานมากเพราะ Product มีเป็นร้อย ๆ SKUs ประสานงานกับโรงพิมพ์เอง เป็นคนรู้จัก ก็เลยช่วยกันทำ เพราะอยากให้งานเสร็จเร็ว เค้าก็อธิบายวิธีการจัดอย่างไรจึงจะคุ้มไม่เสียกระดาษ เสร็จก็ไปจัดหน้ากระดาษเอง คราวนี้เลยเรียนรู้วิธีการทำงานโรงพิมพ์เลย โชคดีที่มี Advisor หลายคน และมีคน Support ในหลายๆ ด้าน ส่วนตัวร้านก็ไปเดินหา location เอง ไปตามรถไฟฟ้ามีคนช่วยประสานงานให้ แต่พอเราตัดสินใจจริง ๆ เราก็ทำเองอีกแหละ จ้างคน Design ร้าน มีพี่ที่เค้าคอยแนะนำช่วยดูเรื่อง Architect อยู่ตลอด ช่วยเราจัด เราอยากได้ประมาณไหนก็บอกเค้า ทำงานกับ interior designer แก้ไปแก้มา งานก็ Delay ไปเรื่อย ๆ พอแต่งร้านเสร็จ มันก็มีอะไรจุกจิกขาดโน่นขาดนี่ บางทีก็ design คุยกับคนทำ furniture เองเลย เอานี่เพิ่มเอานั้นเพิ่มไปเรื่อยๆ Computer Program ที่จ้างให้เข้าทำก็ยังไม่สมบูรณ์ เหนื่อยมากแต่ enjoy กับมัน โชคดีที่เรามีคนมาช่วยงานเพิ่ม เราจะได้ focus ตรงจุดอื่นที่ต้องการการตัดสินใจต่อไป เรา Plan ก่อน Deal ไปสักพักก็ส่งให้คนอื่นทำต่อ หรือบางทีบอกให้คนอื่นไปเริ่มก่อนเดี๋ยวเราจะ take over เรื่องนี้ต่อ พยายามกระจายความรับผิดชอบไปให้ทุกๆคน ก้อยเป็นคนที่ละเอียดมาก เพราะว่าถ้าคิดจะทำอะไรแล้วต้องทำให้ดีที่สุด ก็เลยเหนื่อยหน่อย แต่พองานออกมาเราก็ภูมิใจกับผลอันนั้นเพราะเราได้ทำเต็มที่แล้ว ก้อยทำแม้กระทั่ง Design ชั้นวางของเอง วัดตัว packaging วาดรูปถาดใส่ของ เพื่อให้วาง Packaging ได้พอดี เสร็จแล้วก็ส่งต่อให้ Designer layout ใน com ทำวิธีการ flow ของงานทั้งหมดในร้านจนถึงวิธีทำความสะอาด เสร็จแล้วให้น้อง ๆ Comment เปลี่ยนแปลงกัน แล้วเราก็ Control ความน่าจะเป็นต่างๆ Control final products หลัง ๆ พยายามกระจายงานให้มากขึ้น recruit คนที่เรามีความรู้สึกว่าสามารถ Handle ส่วนด้อยหรือส่วนที่เราไม่มีเวลาทำได้ ต้องเลือกคนให้ถูกกับงาน มี vision ในการทำงานตรงกับเรา มาถึงต้องทำงานได้เลยไม่ต้อง Train มาก จะช่วยเราได้เยอะเราจะได้มีเวลามาทำงานอื่นที่สำคัญได้ เช่นเราอาจไม่เข้าใจเรื่องปฏิกิริยาทางเคมีของสารที่มีผลกับผิวเรา เราก็จ้างคนที่จบ Biochemist มาทำงานด้านให้ information กับลูกค้า เกี่ยวกับ Product และ Ingredient ของเรา เราไม่เก่งทางด้านการทำโฆษณา ก็จ้างคนที่จบทางด้านนั้นมาช่วยเราตัดสินใจ ส่วน Customer Service เราเลือกคนที่มี Service-mind ที่เข้าใจ Customer มาทำ เราไม่ต้องลงไปทำเอง แค่ Set ระบบคร่าว ๆ ให้ก็พอ แต่สิ่งที่เราต้องทำคือการ Training การให้ความรู้กับพนักงานของเรา เกี่ยวกับนโยบาย และทิศทางการดำเนินงานของบริษัท ว่าทำไมเราถึงทำบริษัทนี้ขึ้นมา ให้เหตุผลและวางแผนกลยุทธ์ของงานที่เราจะทำว่าถ้าทำอย่างนี้ผลที่ได้ควรจะเป็นอย่างนี้ ทำให้ทุกคนในบริษัทคิดไปในทางเดียวกัน จะได้มีเป้ามหายร่วมกัน การทำงานการสื่อสารภายในจะได้ง่ายขึ้น ก้อยจะพยายามกระตุ้นให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการออกความคิดเห็น กล้าพูดกล้าวิจารณ์ กล้าแสดงความคิดเห็น ไม่ซ่อนปัญหา ถ้ามีปัญหาจะแก้ไขได้เลยไม่ปล่อยให้บานปลายแก้ยาก บางทีก็มีท้อเหมือนกัน โดยเฉพาะงานที่เราควบคุมมันไม่ได้ ทำให้งานอื่นล่าช้าไปด้วย เราเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะเราเห็นมาตั้งแต่ต้น แต่การที่เราต้องมานั่งอธิบายเวลาคนถามหลายๆคนหลายๆครั้ง มันเหนื่อยและก็เหมือนการตอกย้ำทำให้เราท้อเป็นช่วงๆ แต่พอเห็นงานเสร็จเราก็รู้สึกโล่งอกและรู้สึกดีกับงานนั้นๆ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ