กรุงเทพฯ--17 ก.พ.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์
NIDA Business School ผนึกสถาบันวิจัยนครหลวงไทย ผ่าผลกระทบความเสี่ยงระลอกใหม่ หวั่นแผนแยกหนี้ดี-หนี้เสียของสหรัฐฯ กดดันราคาสินทรัพย์ด้อยค่าอย่างรวดเร็ว ส่งผลสถาบันการเงินต้องแห่เพิ่มทุนหลังขาดสภาพคล่อง จนตลาดเงินตลาดทุนปั่นป่วนอีกรอบ ขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกฉุดการส่งออกของไทยเข้าขั้นวิกฤติ เผยตัวเลขการใช้กำลังการผลิตเดือน ธ.ค. ทรุดต่ำกว่าวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ทั้งอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิคส์ เคมีภัณฑ์ และอุตสาหกรรมยาง แนะรัฐดูแลกลุ่มที่มีความอ่อนไหวสูง พร้อมเร่งวางแผนเชิงกลยุทธ์ เชื่อประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับการกีดกันระหว่างประเทศ ทั้งการค้าและการลงทุนที่หนักขึ้น
ผศ.ดร.นฤมล สอาดโฉม รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา NIDA Business School และผู้บริหารสถาบันวิจัยยุทธศาสตร์และวิเคราะห์ความเสี่ยง (ISTAR) กล่าวในงานเสวนา Crisis Watch series 5 จับตาความเสี่ยงภาคอุตสาหกรรม : ความเสี่ยงระลอกใหม่ที่ภาคอุตสาหกรรมไทยต้องเผชิญ ซึ่ง NIDA Business School ร่วมกับสถาบันวิจัยนครหลวงไทย จัดขึ้นเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ว่า หลังจากการที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ประเมินอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกรอบใหม่ โดยคาดว่าในปีนี้จะมีการเติบโตเพียงแค่ 0.5% ขณะที่หลายๆ ชาติในเอเชียได้เปิดเผยตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่บ่งชัดถึงการถดถอยอย่างรุนแรง ทำให้เชื่อว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะยังคงเป็นความเสี่ยงหลักที่กดดันเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีโอกาสที่จะเป็นความเสี่ยงระลอกใหม่ นั่นคือ แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะพิจารณาผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 789,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และแผนกอบกู้วิกฤติการเงินมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯแล้ว แต่ต้องยอมรับว่าแผนดังกล่าวโดยเฉพาะแผนกอบกู้วิกฤติการเงินยังไม่มีความชัดเจนในหลายประเด็น โดยเฉพาะปัญหาในภาคสถาบันการเงินในส่วนของการตีมูลค่าสินทรัพย์ในสถาบันการเงินและขายต่อให้กับกองทุนร่วมของรัฐและเอกชน ซึ่งจุดนี้ถ้าใช้การตีมูลค่าสินทรัพย์ตามราคาตลาด (Mark to Market) จะทำให้เกิดการด้อยค่าของราคาสินทรัพย์อย่างรวดเร็ว และจะทำให้สถาบันการเงินต้องทำการตัดขาดทุนอีกครั้งและพบกับภาวะขาดทุนจนต้องดำเนินการเพิ่มทุนครั้งใหญ่อีกระลอก ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจจะจุดชนวนให้เกิดความปั่นป่วนในตลาดเงินและตลาดทุนรอบใหม่
ขณะเดียวกัน ยังมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทย ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการกีดกันการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งมีสัญญาณบ่งชี้ในการประชุม World Economic Forum ครั้งล่าสุดที่เมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมล้วนมีความกังวลในประเด็นการกีดกันทางการค้า เพราะจะส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกล่าช้าออกไป ผนวกกับการที่นานาประเทศทั่วโลกเริ่มหันมากระตุ้นเศรษฐกิจโดยงบประมาณภาครัฐและเน้นให้วงเงินดังกล่าวซื้อวัตถุดิบในประเทศ ทำให้รูปแบบการกันกีดกันทั้งทางด้านการค้าเริ่มปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย กล่าวว่า เรื่องที่น่ากังวลใจสำหรับภาคอุตสาหกรรมไทยในขณะนี้ สะท้อนผ่านตัวเลขอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capital Utilization Rate) ซึ่งสถาบันวิจัยนครหลวงไทยพบว่า โดยภาพรวมแล้วการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ระดับ 58.9% ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ภาคอุตสาหกรรมของไทยกำลังเผชิญกับปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินสูง (excess capacity) โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออกนั้นอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงอย่างมาก
สำหรับประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ก็คือ เมื่อพิจารณาตัวเลขอัตราการใช้กำลังการผลิตแบบเจาะลึก จะพบว่า ในเดือนธันวาคม 2551 มีบางอุตสาหกรรมที่มีตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าปี 2541 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิคส์ที่อัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 44% ต่ำกว่าปี 2541 ซึ่งอยู่ที่ 65% เช่นเดียวกับเคมีภัณฑ์และอุตสาหกรรมยาง โดยทั้งหมดเป็นภาคอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกมากกว่า 60% ของกำลังการผลิต
“แม้ว่า จะเป็นตัวเลขเพียงเดือนเดียว ซึ่งอาจจะเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า สถานการณ์ตอนนี้เลวร้ายกว่าวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 แต่เมื่อพิจารณาจากความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่กดดันการส่งออกของภาคอุตสาหกรรมไทยทั้งในขณะนี้และในอนาคต ก็ต้องยอมรับว่า เรามีความกังวลว่าภาคอุตสาหกรรมจะมีความยากลำบากมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความอ่อนไหวสูง ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิคส์ เหล็ก ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ เม็ดพลาสติก รวมถึงแผงวงจรไฟฟ้า ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่รัฐบาลควรเข้ามาดูแลมากขึ้น” นายสุกิจกล่าว
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ยังเชื่อด้วยว่า ในที่สุดแล้ว โครงสร้างภาพรวมของภาคอุตสาหกรรมไทยจะเปลี่ยนแปลงไป เช่นเดียวกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของภาคการเงินหลังวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ดังนั้น ในส่วนของภาครัฐจึงควรที่จะเน้นการดูแลในเชิงการวางกลยุทธ์ เพื่อที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมได้ประโยชน์มากที่สุดในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวขึ้นหรือยังคงตกต่ำต่อไป โดยจะต้องวางแผนรองรับล่วงหน้า รวมทั้งจะต้องมีนโยบายเพื่อที่จะส่งเสริมด้านการลงทุนอย่างชัดเจนอีกด้วย
เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์โดยบริษัทมาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (ในนาม NIDA Business School)
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ
พิภพ ฆ้องวง (ท๊อป) โทร. 0-2248-7967-8 ต่อ 14 หรือ 08-1929-8864
e-mail address : [email protected]