กรุงเทพฯ--20 ก.พ.--กรมการค้าต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2552 คณะกรรมาธิการยุโรปด้านวิสาหกิจและอุตสาหกรรมแถลงในที่ประชุม “Etats Generaux de I’Automobile” ณ กรุงปารีส เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมรถยนต์ยุโรปในภาวะวิกฤต สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้ 1. คาดว่า GDP ของ EU ในปีนี้จะหดตัวลงร้อยละ 1.8 และคาดว่าปี 2553 จะลดลงอีก ทำให้สถานการณ์ในสาขารถยนต์น่าเป็นห่วง ยอดขายรถยนต์ใหม่ได้ลดลงอย่างมากทั้งในยุโรปและทั่วโลก โดยยอดขายปี 2551 ต่ำกว่ายอดขายปี 2550 ร้อยละ 8 หรือน้อยลงกว่า 1 ล้านคัน และคาดว่าสถานการณ์ในปีนี้ยอดขายจะลดลงอีกร้อยละ 10-20 ซึ่งจะมีผลกระทบต่อ suppliers ใน value chain ของอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็ก นอกจากนี้ยังกระทบต่อการจ้างงานในสาขานี้อีก 12 ล้านครัวเรือนในยุโรป 2. อุตสาหกรรมรถยนต์เป็นสาขาสำคัญสำหรับเศรษฐกิจและสังคมยุโรปทั้งในแง่การจ้างงาน การใช้เงินทุนสูง และการทำวิจัย การแทรกแซงโดยภาครัฐจึงมีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเทศสมาชิกอียูหลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศสจึงดำเนินการที่จะให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมรถยนต์ 3. มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจยุโรปที่เสนอโดยคณะกรรมาธิการยุโรป เมื่อเดือนพฤศจิกายน และเห็นชอบโดยคณะมนตรียุโรปเมื่อเดือนธันวาคม 2551 ประกอบด้วย 3.1 ให้ความมั่นใจแก่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์และ supplier ในการเข้าถึงสินเชื่ออย่างมีเสถียรภาพ โดย European Investment Bank เป็นผู้ให้สินเชื่อในระดับ EU โดยจะให้สินเชื่อส่วนใหญ่กับโครงการ “green projects” ผลิตรถยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อมโดยใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังมี facility ในวงเงิน 30 พันล้านยูโรเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็น suppliers ในสาขารถยนต์ ส่วนระดับประเทศสมาชิกมีตัวอย่างที่ภาครัฐให้ความช่วยเหลือโดยการประกันสินเชื่อ 3.2 กระตุ้นอุปสงค์ในสินค้ารถยนต์ โดยให้สิ่งจูงใจผู้บริโภคในการทิ้ง/เลิกใช้รถยนต์เก่า อัตราภาษีที่ดึงดูดให้ใช้รถยนต์ที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ หรือการจัดซื้อโดยรัฐสำหรับการซื้อรถยนต์ “green cars” ประเทศสมาชิกที่ได้เริ่มดำเนินการแล้วได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมนี และสเปน 3.3 ให้ความช่วยเหลือกรณีได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างในหน่วยงาน และการรักษาแรงงานฝีมือ (skilled workforce) ในยุโรป โดยมีกองทุน Globalision Adjustment Fund และEuropean Social Fund เป็นเครื่องมือดำเนินการ 3.4 จัดตั้ง Green Car Initiative สำหรับการวิจัยและพัฒนาโดยมีงบประมาณอย่างน้อย 5 พันล้านยูโร ที่จะส่งผลระยะยาวในการรักษาสิ่งแวดล้อม และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมรถยนต์ยุโรป 4. เน้นมาตรการที่จะช่วยแก้ปัญหาโครงสร้างในระยะยาวของอุตสาหกรรมรถยนต์ยุโรปที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ก่อนหน้าวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับประสิทธิภาพการผลิต (production efficiency) และสมรรถนะในการใช้ประโยชน์ (capacity utilization) รวมทั้งสร้างความพร้อมแก่อุตสาหกรรมรถยนต์ยุโรปเพื่อรอโอกาสที่ดี ของตลาดรถยนต์โลกในระยะยาวต่อไป
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยส่งออกรถยนต์ไปสหภาพยุโรปมูลค่าเฉลี่ยปีละ48,623 ล้านบาท (2549-2551) โดยในปี 2551 ไทยส่งออกมูลค่า 38,761 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 22 อย่างไรก็ดี นโยบายและมาตรการให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมดังกล่าว ชี้ให้เห็นถึงภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรง ทำให้อุปสงค์และยอดขายรถยนต์ลดลงอย่างมากในปีนี้ ซึ่งจะกระทบถึงการส่งออกรถยนต์ของไทยในตลาดยุโรปด้วย รวมทั้งแนวโน้มตลาดรถยนต์ยุโรปในระยะยาวที่มุ่งพัฒนารถยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อมหรือ “green cars” โดยผู้ประกอบการไทยสามารถใช้เป็นข้อมูลชี้นำทิศทางปรับเปลี่ยนการผลิตรถยนต์ส่งออกของไทยให้สอดคล้องกับตลาดยุโรปต่อไปในอนาคต