INTERVIEW: "ลีโอ พุฒ" โผล่เบื้องหน้า ร้ายตลก "ฅนไฟบิน"

ข่าวทั่วไป Friday December 1, 2006 12:17 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--1 ธ.ค.--สหมงคลฟิล์ม
ถ้าเอ่ยชื่อ "ลีโอ พุฒ" ใครหลายคนคงจะจำหนุ่มหัวสิงโต หน้าตาลูกครึ่งญี่ปุ่น ได้ในฐานะนักร้องขวัญใจวัยรุ่นและขวัญใจเด็กแนวจากภาพยนตร์ชื่อดังอาทิ Fake โกหกทั้งเพและเอ็กซ์แมนแฟนพันธุ์เอ็กซ์ แม้ว่าตอนนี้ลีโอ พุฒจะหันไปจับงานเบื้องหลังทำรายการ พุด - ต้า - เร รายการแนววาไรตี้แต่ในฐานะนักแสดง ลีโอ พุฒยังถือเป็นดารามากฝีมือที่เล่นได้หลายบทบาทโดยเฉพาะภาพยนตร์แอ็คชั่น — คอเมดี้ฟอร์มยักษ์ส่งท้ายปีของสหมงคลฟิล์มเรื่อง ฅนไฟบิน ที่เขาพลิกบทบาทเล่นบทร้าย ตลกเป็นครั้งแรกและยอมรับว่าโอกาสดีๆในการแสดงแบบนี้อาจเป็นแค่ครั้งเดียวในชีวิตก็เป็นได้
Q: คาแรกเตอร์ในภาพยนตร์เรื่อง ฅนไฟบินเป็นอย่างไร?
ผมรับบทเป็นพระยาครับ พื้นฐานครอบครัวดี มีฐานะทางสังคมสูง จบการศึกษาจากประเทศอังกฤษ เป็นคนมั่นใจในตัวเองและมั่นใจในพลังทางการเงินของตัวเองมาก เป็นคนโลภ เห็นแก่ตัว ขี้กลัวแต่ขี้โกง บุคลิกภายนอกจะร้ายแต่นิ่งๆ เป็นคนทะลึ่ง ทะเล้น สนุกบนความทุกข์ของผู้อื่นครับ
Q: สาเหตุที่ตัดสินใจพลิกคาแรกเตอร์รับเล่นบทพระยาแหว่ง?
ตอนแรกที่อ่านบทก็ตัดสินใจนานเหมือนกันครับ เป็นเดือนเลย เพราะว่าผมไม่เคยเล่นบทตัวโกงหรือบทร้ายเลย แต่ที่ตัดสินใจเล่นเพราะว่าเราไม่เคย อยากลองดู ซึ่งบทเรื่องนี้ดีมาก ผมต้องเล่นเป็นคนสองบุคลิกคือตอนแรกจะเป็นพระยาปกครองมณฑลโคราชธรรมดาแต่ตอนหลังจะถูกพี่พันนาเข้าสิงก็จะเป็นอีกหนึ่งบุคลิก จากทะเล้นก็จะกลายเป็นนิ่งขึ้น ร้ายกาจมากขึ้น ต้องพูดภาษาอีสานด้วย แถมยังเล่นบทแอ็คชั่นกับเดี่ยว ชูพงษ์และพี่พันนาซึ่งเขามีดีกรีความเป็นพระเอกนักบู๊ ก็เลยคิดว่าผมควรจะเปลี่ยนปรับบทที่รับบ้างเพื่อขอบเขตการทำงานจะได้กว้างขึ้นครับ แต่เท่าที่ผ่านมาถือว่าผมได้รับโอกาสที่ดีนะครับเพราะได้รับบทที่หลากหลาย เริ่มจากบทเพลย์บอยจากเรื่อง FAKE โกหกทั้งเพ, เอ็กซ์แมน ฯ ก็จะเป็นคนลึกลับ โรคจิตหน่อยๆ , The Sperm ก็จะเป็นเด็กใต้ เป็นนักร้อง คลั่งไคล้ดาราสาวคนหนึ่งหรืออย่างโอปปาติกะก็จะบู๊ล้างผลาญเป็นปีศาจก็ถือว่าแตกต่างกันครับ
Q: ตัวละครพระยาแหว่งถือว่าเป็นสีสันในเรื่อง?
ใช่ครับ เป็นคนที่ทะเล้น ทะลึ่ง โลภมากอยากได้แต่เงิน จึงทำให้เป็นคนไม่ดี คือในเรื่องพระยาแหว่งเป็นคนนำเข้ารถไถยนต์แต่ชาวบ้านยังใช้ควายทำนาอยู่เลยขายไม่ได้ จึงว่าจ้างโจรให้ไปจัดการเหล่านายฮ้อยที่ต้อนควายไปขายให้หมด ตนเองจะได้ขายรถไถยนต์ได้ แต่คาแรกเตอร์จะเป็นคนกวนๆ ต่อสู้กับใครไม่เป็นจะ
ใช้แต่ลูกน้องให้จัดการแทน ผมจำได้ว่าวันแรกที่ถ่ายหนังเรื่องนี้ ยังไม่รู้ว่าบทมันเป็นอย่างไร ในเรื่องต้องพิการปากแหว่งเพดานโหว่ด้วยก็ไม่รู้ว่าจะเล่นแค่ไหน นึกภาพไม่ออก หลังจากนั้นซัก 5 คิวถึงจะเข้าที่เข้าทาง ฉากวันแรกถือเป็นฉากยากด้วย ต้องนั่งเสลี่ยงไปช่วยตัวโกงคนหนึ่งเพราะจะเอามาเป็นลูกน้อง ด้วยความที่เป็นหนังตลกผมก็จะใส่ความตลก ความขำเข้าไปเพื่อช่วยหนังแต่พอผมเล่นคนอื่นก็ขำ ผมเองก็อดขำไม่ได้ เลยหลุดคิวกันหลายเทคมาก หรืออย่างฉากที่พระยาแหว่งพยายามจะจีบนางเอกก็จะไม่พูดภาษาอีสานจะพูดภาษากลางเป็นคนกรุงเทพฯ ผมเองก็จะช่วยพี่เหลิมดีไซน์ว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้นะ คือเพิ่มความน่าหมั่นไส้ให้กับตัวละครพระยาแหว่ง แต่ผมว่ามันน่ารักดีนะ ตลกด้วย ผมเชื่อว่าทุกครั้งที่ตัวพระยาแหว่งโผล่ออกมาทุกคนคงจะขำ ทุกคนคงจะชอบครับ
อย่างฉากที่ชอบก็เช่นฉากโหนเถาวัลย์ฟอร์มจะปราบโจรช่วยชาวบ้าน นึกภาพตามนะครับว่าผมโหนเถาวัลย์กระโดดเหยียบบ่าลูกน้อง ตัดสลับกับฉากที่ชาวบ้านร้องโอ้โฮ อารมณ์เหมือน จา พนมแล้วภาพก็ตัดมาตอนโหนไปชนต้นไม้หล่นดังตุ๊บ !! หรือในเรื่องพระยาแหว่งเขาจะมีเมียสองคนประกบซ้ายขวาตลอด แต่พอเจอนางเอกก็กระทืบเมียตัวเองทิ้งแล้วบอกว่าไม่ใช่เมีย ไม่คู่ควรจะเป็นเมียด้วย เป็นความเจ้าชู้แบบหน้าด้านๆ ก็ตลกดีครับ
Q: การร่วมงานกับผู้กำกับ เฉลิม วงค์พิมพ์?
ผมเป็นคนชอบดูหนังตลกก็จะติดตามดู 7 ประจัญบานมาทั้งสองภาค ชอบมากครับและเคยเห็นพี่เหลิมตามงานทั่วไปอยู่แล้ว แต่ไม่เคยร่วมงานกัน พี่เหลิมเป็นคนสนุกสนานมากครับ เฮฮาตลอด ใจดีและใจเย็นด้วย จนทำให้บรรยากาศในกองถ่ายเถิดเทิงสนุกสนานครับ ไม่เครียด เป็นกองถ่ายที่มีวันหยุดด้วยอย่างฉากที่ต้องถ่ายติดกันหลายวัน คือพี่เหลิมเป็นคนค่อนข้างคำนึงถึงสุขภาพจิตของนักแสดงพอสมควร ถ้าเกิดเราทำงานอัดอัดกันทุกวันมันจะเหนื่อย จะล้าและจะทำให้เล่นได้ไม่ดี แล้วอีกอย่างเรื่องนี้การถ่ายทำค่อนข้างสบาย ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าอาจจะหนา จะร้อนหน่อยแต่ไม่มีฉากกลางคืน มันก็จะเหมือนเราทำงานไปเช้าเย็นกลับ บวกกับอยู่ขอนแก่นอากาศดีไม่เครียด ไม่ต้องหงุดหงิดเรื่องรถติดมันก็สบายใจ พอเลิกกองก็ไปทานข้าวกันเล่าเรื่องสนุกเล่าเรื่องตลกกันก็ทำให้มีความสุขมากครับ
Q: ในเรื่องจะต้องเล่นบทแอ็คชั่นด้วย?
ใช่ครับ แต่แอ็คชั่นของพระยาแหว่งจะใช้วิชาไสยศาสตร์ มนต์ดำ ไม่มีการถูกเนื้อต้องตัวกัน ใช้วิชาจับสะบัดอย่างซีนแอ็คชั่นที่ต้องเล่นกับเดี่ยว ผมก็จะแค่สะบัดหรือบิดข้อมือ เดี่ยวเขาก็จะกระเด็นไปตามแรงเหวี่ยง ไม่ต้องชก ไม่ต้องโดนตัว ไม่ต้องคลุกฝุ่น คลุกดิน แต่ก็มีซีนที่ต้องขึ้นสลิงด้วยครับ สูงมาก เห็นครั้ง
แรกไม่กล้าขึ้นเพราะตัวเราจะยึดไปกับสลิง มือก็ไม่สามารถเกาะอะไรได้และต้องดิ้นเหมือนจะสะบัดให้หลุดก็เสียวเหมือนกันครับ ขอพี่เหลิมว่าไม่ซ้อมนะพี่ เทคเดียวเลย แต่ก็ผ่านมาได้อย่างราบรื่นครับ สิ่งแรกที่ผมกังวล
ตอนอ่านบทคือเรื่องของภาษาแต่กลับเป็นว่าตอนถ่าย ซีนแอ็คชั่นจะยากที่สุดเพราะต้องมีสองบุคลิก ตอนที่ถูกปอบดำเข้าสิงผมต้องเก่งทางด้านแอ็คชั่นมาก หน้าตาต้องจริงจัง แต่พอตัดสลับมาเป็นพระยาแหว่งก็จะกล้าๆกลัว ส่วนเรื่องของภาษากลายเป็นง่ายเลยครับเพราะจะมีทีมงานที่เป็นคนโคราชคอยตามประกบผมตัวต่อตัวเลย แถมยังช่วยอัดเทปไดอาล็อคให้ผมท่อง เลยไม่มีปัญหาอะไรครับ
Q: การร่วมงานกับพระเอกนักบู๊อย่างเดี่ยว ชูพงษ์?
เดี่ยวเป็นคนที่มีบุคลิกคนละขั้วกับที่เห็นในหนังเลยครับ ในหนังเขาจะบู๊เป็นไฟเลยแต่ตัวตนจริงเป็นคนเรียบร้อยมาก ขี้อาย ขี้เขิน ขี้ขำ ( หัวเราะ ) พอผมพูดอะไรนิดหน่อยเขาก็จะขำ จะเขินจะหัวเราะ เป็นคนน่ารักครับผมว่าเขาเป็นคนอ่อนโยนนะ ไม่ได้นิสัยนักเลงอย่างแน่นอน แต่ถ้าเห็นในหนังจะจินตนาการว่าเดี่ยวจะบู๊ จะเตะเป็นไฟอย่างแน่นอนแต่ตัวตนจริงไม่ใช่เลยครับ ออกจะธรรมะธรรมโมด้วย แต่ผมยอมรับในการเล่นซีนแอ็คชั่นของเดี่ยวเลยนะครับ เขามีความสามารถเหมือนเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ไม่ว่าบทจะเสี่ยงแค่ไหน จะยากแค่ไหน เขาไม่เคยแสดงความท้อให้เห็นเลย ตั้งใจซ้อมตั้งใจเล่นตลอดเวลาและเขาจะทุ่มเทมากนะครับอย่างฉากสุดท้ายที่ผมถูกปอบดำเข้าสิงและต้องเล่นบทบู๊ เตะต่อย แทงศอก แทงเข่า เขาก็ใส่ผมไม่ยั้งเลยครับเล่นเอาจุกไปหลายวันเหมือนกันครับ
Q: การร่วมงานกับนักแสดงท่านอื่น?
ผมจำได้ว่าผมเคยดูหนังพี่พันนาตอนเด็ก ๆ เรื่อง ไอ้เพชร บ.ข.ส.ที่พี่พันนาเล่นกับพี่บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ จริงๆแล้วมีดาราหนังแอ็คชั่นหลายคนที่ผมประทับใจนะครับแต่ถ้าพูดถึงความระห่ำต้องยกให้แกเป็นที่หนึ่งครับ ตอนที่ทราบว่าจะได้ร่วมงานกันก็รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติมาก จริงๆแล้วรุ่นผมกับพี่พันนาจะไม่ทันกันและรู้สึกว่ามันไม่น่าโคจรมาเจอกันได้แต่พอได้มาร่วมงานกัน พี่พันนาเป็นคนใจดี และใจเย็นมาก เป็นคนขรึมๆนิ่งๆ แต่เป็นคนเก่ง ดูแว่บแรกก็ทราบเลย ยิ่งเห็นเวลาแกทำงาน ค่อนข้างตั้งใจครับ รู้งาน มีการวางแผน มีการเตรียมตัวทำการบ้านมาเป็นอย่างดีครับ ในเรื่องพี่พันนาต้องเล่นบทบู๊ด้วย แต่อาจจะไม่ได้ระห่ำเหมือนสมัยก่อนแต่ผมก็รู้สึกดีใจครับที่ได้มาเห็นพระเอกที่เราชื่นชอบเมื่อตอนเด็ก แถมต้องปะทะบทบู๊กันด้วย ส่วนพี่สามารถเป็นพี่ที่น่ารักมาก จริงๆแล้ว นักแสดงจะสนิทกันหมดเลย อย่างพี่มารถก็จะเป็นคนฮาๆ ติดตลก ดูเป็นคนเก่งและมีน้ำใจมาก อย่างครั้งหนึ่งผมเคยพูดเรื่องกางเกงยีนส์ คุยไปคุยมาเขาก็ให้กางเกงยีนส์ผมมาเลย แพงมากด้วย คือเป็นคนน่ารัก ส่วนในเรื่องของการแสดงผมว่าเขามีพรสวรรค์นะ หน้าตาเขาไปกับบท เหมือนเป็นนายฮ้อยสิงห์จริงๆเป็นคนตั้งใจ ซ้อมคิวตลอด พี่มารถกับผมจะติดเรื่องของภาษาแต่เขาก็จะอัดเทปและฟัง ฝึกซ้อมตลอดเวลาครับ รวมไปถึงพี่ต๋อง ชวนชื่นและพี่โตที่เล่นเป็นเสือเผ่น ลิงลมด้วย พี่ต๋องเนี๊ย แม้ว่าตัวไม่อยู่ก็จะโทรสั่งให้เพื่อนพาไปเที่ยวโน้น เที่ยวนี่ ก็ดูแลดีเหมือนมาเที่ยวบ้านเขาเลยครับ ส่วนนางเอก น้องอุ้ยก็จะอยู่ไม่สุขครับ จะซนมาก อยู่นิ่งไม่ได้ กินเก่งและก็พูดไม่หยุด เป็นคนเส้นตื้นครับ ตลกดี แต่ถือว่าเป็นนักแสดงที่เก่งครับ เล่นหนังเป็นเรื่องแรกแต่ต้องเล่นทั้งบทดราม่า มีบทบู๊ด้วย ขึ้นสลิง โรยตัว โดนจับ โดนลาก อุ้ยก็ยังไม่บ่นซักคำครับ
Q: สิ่งที่กังวลที่สุดในการรับเล่นเรื่องนี้?
ตอนแรกผมกังวลเรื่องภาษาครับเพราะคิดว่าต้องพูดอีสาน กลัวว่าคนดูจะไม่เชื่อ แต่พอเล่นไปบทแอ็คชั่นเป็นสิ่งที่เรากลัวที่สุดเพราะเคยเล่นแต่แอ็คชั่นใช้ปืน แต่ไม่เคยต้องมาบู๊ เตะ ต่อย ตีลังกาแทงเข่า ซึ่งนักแสดงทุกคนในเรื่องเขามีพื้นฐานหมดเลย อย่างเดี่ยวกับพี่พันนาเนี่ยไม่ต้องพูดถึง พี่มารถก็เป็นถึงนักมวย หรืออย่างผมตอนเป็นพระยาแหว่งก็จะไม่เป็นปัญหาอะไรเพราะจะสู้โดยใช้ลูกน้อง แต่พอฉากที่ปอบดำเข้าสิง เราต้องเล่นเอง ต้องรู้จังหวะการต่อย เตะ จังหวะการหลบหลีกให้ดูทะมัดทะแมงสวยงามไม่งั้นอาจผิดคิวโดนต่อยได้ทุกเมื่อ แต่เล่นบทบู๊ก็ต้องมีการผิดพลาดเป็นธรรมดาครับอย่างผมกับเดี่ยวก็หลายเทคเหมือนกัน แต่ก็บอกเดี่ยวว่าใส่เต็มที่ เล่นเต็มที่ไปเลย จะได้ดูสมจริงครับ
Q: ความน่าสนใจหรือเสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้?
ผมว่าเรื่องนี้มีเสน่ห์ชัดเจนมากครับคือความเป็นไทยอีสาน เป็นหนังที่เล่าเรื่องความเป็นไทยคือหนังแอ็คชั่นในสมัยก่อนหลายคนจะนึกถึงการระเบิด เผากระท่อม แต่เรื่องนี้จะผสานวัฒนธรรมอีสานกับบทบู๊เข้าด้วยกัน อย่างอาวุธของเดี่ยวก็จะเป็นบั้งไฟกับตะไล ซึ่งใช้ในพิธีขอฝน หรืออย่างฉากต่อสู้ท่ามกลางควายนับพันตัว ผมว่ามันสวยมากนะครับ สื่อความเป็นไทยอีสานได้ชัดเจนมากครับและเรื่องราวก็เกิดในสมัยก่อนเป็นหนังพีเรียดที่ไม่ได้อยู่แต่ในรั้วในวัง สมัยอยุธยา ไม่ใช่พม่ายกทัพมาตี แต่จะเป็นเรื่องของภาคอีสาน เล่าเรื่องนายฮ้อย ซึ่งมีอาชีพต้อนวัว ควาย ผ่านโคราชแล้วค่อยเข้ากรุงเทพฯ เป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ของอีสานอีกภาคหนึ่งก็ถือเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่ง
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ