เจ เอ็ม ที สวนกระแสเศรษฐกิจซบ รุกขยายธุรกิจพร้อมรับพนักงานเพิ่ม 200 อัตรา ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในธุรกิจติดตามหนี้สินของประเทศไทย

ข่าวเทคโนโลยี Tuesday March 10, 2009 15:49 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--10 มี.ค.--บ้านพีอาร์ เจ เอ็ม ที รุกขยายธุรกิจหลังประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ประกาศรับพนักงานเพิ่มอีกถึง 200 อัตรารองรับการเติบโตทางธุรกิจ สวนกระแสเศรษฐกิจตกต่ำ เชื่อมั่นธุรกิจติดตามหนี้สินเติบโตแบบก้าวกระโดด ตั้งเป้าปี 2552 ซื้อหนี้เข้ามาบริหารไม่ต่ำกว่า 4,500 ล้านบาท ก่อนเพิ่มมูลค่าเป็น 6,000 ล้านบาทในปี 2553 มั่นใจศักยภาพบริษัทแข็งแกร่งทั้งด้านทีมงานบริหารและเงินทุน พร้อมจุดแข็งเรื่องดาต้าเบสทำให้เข้าใจลูกหนี้ได้เป็นอย่างดี ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในธุรกิจติดตามหนี้สินของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับที่สุดในวงการ นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานกรรมการ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซส จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการรุกธุรกิจในปี 2552 ว่าทางบริษัทเตรียมแผนการรุกขยายธุรกิจเพิ่มขึ้น หลังจากมองเห็นโอกาสที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์เศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2551 ที่เริ่มเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นจากปัญหาซับไพร์ม ในสหรัฐอเมริกา และส่งผลกระทบกระเทือนไปยังเศรษฐกิจทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ทำให้อัตราว่างงานขยายตัวมากขึ้น ส่งผลให้หนี้เสียของกลุ่ม Bank และ Non-Bank มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น เห็นได้จากปริมาณติดตามหนี้คงค้างที่ได้รับจากลูกค้ารายเดิมเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับสถาบันการเงินหลาย ๆ สถาบันที่ไม่เคยขายหนี้มาก่อน เริ่มทยอยขายหนี้ออกมามากขึ้นซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถคืนเงินกลับเข้าสู่ระบบสถาบันการเงินได้เร็วที่สุดวิธีหนึ่ง ปัจจัยที่เกิดขึ้นดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป การขายหนี้ NPL ประเภท Personal Loan, Hire Purchase, Credit Card และประเภทอื่น ๆ จะมีมากขึ้น การซื้อขายหนี้มาบริหารเอง จึงเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีความสำคัญต่อระบบสถาบันการเงินไทยที่มีขนาดเติบโตอย่างรวดเร็ว ั ทั้งนี้จากการที่ เจ เอ็ม ที เป็นบริษัทในเครือ บมจ. เจ มาร์ท ที่มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งมั่นคง จึงมีศักยภาพสูงในการประมูลและรับซื้อหนี้ประเภทต่าง ๆ จากสถาบันการเงิน เจ เอ็ม ที ตั้งเป้าหมายในการเพิ่มมูลค่าหนี้ที่ติดตามคงเหลือให้เป็น 4,500 ล้านบาทในปี 2552 และเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ล้านบาทภายในปี 2553 ด้วยมูลค่าหนี้ที่ติดตามดังกล่าวส่งผลให้ เจ เอ็ม ที ถือครองพอร์ตสินเชื่อจากการขายหนี้ของสถาบันต่าง ๆ ในประเภท Retail & Consumer Loan มากที่สุด หลังจากที่ในปี 2549 เจ เอ็ม ที ได้เริ่มขยายธุรกิจสู่การซื้อบัญชีลูกหนี้เข้ามาบริหารเอง ด้วยการตัดสินใจและเล็งเห็นถึงโอกาสที่มั่นคงในอนาคตของทีมผู้บริหารบริษัท เจ เอ็ม ที จึงได้ลงทุนในการซื้อหนี้พอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อส่วนบุคคล มาจากสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ด้วยมูลค่าหนี้ติดตามคงเหลือที่ 1,000 ล้านบาท และได้ทำการลงทุนประมูลซื้อเพิ่มเติมจากสถาบันการเงินแห่งอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงินจากภายในประเทศ และสถาบันการเงินที่เป็นสาขาจากต่างประเทศ จนปัจจุบันมีมูลค่าหนี้ที่ติดตามคงเหลือมากกว่า 2,000 ล้านบาท จากพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ, สินเชื่อส่วนบุคคล, สินเชื่อเงินกู้ และบัตรเครดิต นายปิยะ พงษ์อัชฌา ผู้อำนวยการบริหารสายการตลาด เจ เอ็ม ที ได้กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ เจ เอ็ม ที ยังมีแผนขยายการรับซื้อหนี้ไปสู่ธุรกิจ เช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อที่อยู่อาศัย จากสถาบันการเงินต่าง ๆ นับเป็นก้าวย่างอันสำคัญของบริษัทในการเข้าสู่ปีที่ 15 ของบริษัทตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2537 ด้วยจุดแข็งเรื่องการใช้ระบบฐานข้อมูลที่มีอยู่จำนวนมากและการสนับสนุนด้าน IT เข้ามาช่วยในการบริหาร รวมทั้งประสบการณ์การบริหารหนี้สินอันยาวนานของทีมผู้บริหาร จึงทำให้ เจ เอ็ม ที มั่นใจในศักยภาพของบริษัทว่าจะสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไปในอนาคต “เจ เอ็ม ที มีจุดแข็งเรื่องของดาต้าเบสทำให้เข้าใจลูกหนี้ในเชิงลึก ประกอบกับกลยุทธ์การประนอมหนี้ที่บริษัทนำมาใช้ ทำให้สามารถเรียกเก็บหนี้ได้อย่างต่อเนื่องและไม่เคยเกิดปัญหาในการติดตามหนี้สิน เนื่องจาก เจเอ็ม ที ปฏิบัติตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทยมาโดยตลอด ส่งผลให้ เจ เอ็ม ที เป็นบริษัทมีความน่าเชื่อถือที่สุดในธุรกิจติดตามหนี้สินของประเทศไทย” นายปิยะ เผยเพิ่มเติ่มว่า ในการรุกขยายธุรกิจของ เจ เอ็ม ที ในปี 2552 ทางบริษัทยังสวนกระแสเศรษฐกิจจากธุรกิจอื่นที่มีการปลดพนักงานด้วยประกาศรับพนักงานใหม่เพิ่มขึ้นอีกจำนวนมากถึง 200 อัตรา ทั้งในส่วนเจ้าหน้าที่ธุรการ, เจ้าหน้าที่เร่งรัดหนี้สิน, เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย, ทนายความ และพนักงานบังคับคดี เพื่อรองรับกับการขยายตัวทางธุรกิจจากปัจจุบันที่มีพนักงานทั้งสิ้น 400 อัตรา โดยผู้สนใจสามารถติดต่อสมัครงานได้ที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล อาคารยูเอ็ม ทาวเวอร์ ชั้น 12 ถ.รามคำแหง เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ “เจ เอ็ม ที เป็นบริษัทที่มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทมีความแข็งแกร่ง จึงถือเป็นธุรกิจที่ดีมีอนาคตอย่างมาก พนักงานที่มาร่วมงานกับ เจ เอ็ม ที มีรายได้ดี มีเงินเดือนประจำ และมีค่าคอมมิชชั่นด้วย โดยทางบริษัทจะมีการจัดการฝึกอบรมให้กับพนักงานใหม่ก่อนการทำงานจริง ขอเพียงมีความตั้งใจก็สามารถมีอนาคตไปกับบริษัทได้” นายปิยะกล่าว สื่อมวลชนสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณปิยวรรณ อนันต์เวทยานนท์ บริษัท บ้านพีอาร์ จำกัด โทรศัพท์ 02 292-9383 มือถือ 081 944-1972

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ