เรื่องย่อภาพยนตร์เรื่อง "The Great Buck Howard"

ข่าวบันเทิง Friday March 20, 2009 15:40 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 มี.ค.--สหมงคลฟิล์ม The Great Buck Howard สัญชาติ อเมริกัน ประเภท ตลก / ดราม่า อำนวยการสร้าง ทอม แฮงค์ส (Forrest Gump, The Da Vinci Code) กำกับ/เขียนบท ฌอน แม็คกินลี่ย์ (Brothers, Two Days) กำกับภาพ ทั๊ค ฟูจิโมโค้ (The Sixth Sense, The Happening) นำแสดง โคลิน แฮงค์ส (The House Bunny, King Kong) ทอม แฮงค์ส (Forrest Gump, The Da Vinci Code) จอห์น มัลโควิช (Burn After Reading, Beowulf) เอมิลี่ บลันท์ (The Devil Wears Prada) สตีฟ ซาห์น (Sahara, Joy Ride) ตารางการเข้าฉาย (ฉายวน) 26/03/09 - 08/04/09 - Paragon Cineplex 09 -15/04/09 - Major Ratchyothin 16 - 22/04/09 - Esplanade Cineplex 23 - 29/04/09 - Major Sukhumvit เนื้อเรื่อง กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว บั๊ค โฮเวิร์ด (จอห์น มัลโควิช) มีชีวิตอยู่ภายใต้แสงสป๊อตไลท์ ด้วยความสามารถพิเศษในการสะกดจิตขั้นเทพ ทำให้ชื่อของเขาวิ่งหราอยู่ในเวกัส แถมยังเคยออกรายการ Tonight Snow ของ จอห์นนี่ คาร์สัน อีกถึง 61 ครั้งด้วยกัน พรสวรรค์ของเขามีล้นเหลือไปกว่าการเล่นกลไพ่มือไวธรรมดาสามัญ การอ่านใจและสะกดจิตของเขานั้น สุดยอดถึงขนาดสะกดจิตคนได้ทั้งห้อง! แต่ณ.เวลาปัจจุบัน กลที่เคยเลื่องชื่อของเขาก็ดูเหมือนจะขาดมนต์เสน่ห์ไปแล้ว เขาต้องลดระดับมาเปิดการแสดงในห้องประชุมกลางของชุมชน อย่างไรก็ตาม บั๊ค ก็ยังสงวนท่าทีเอาไว้ และมั่นใจในความเป็นดาวโรจน์ของตัวเองอย่างไม่เสื่อมคลาย เขาเชื่อมั่นว่าตัวเองจะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ในไม่ช้า แต่การที่จะทำเช่นนั้นได้ เขาก็อาจต้องการผู้จัดการใหม่เพียงเท่านั้น ทรอย เกเบิ้ล (โคลิน แฮงค์ส) เป็นนักศึกษากฏหมายที่เพิ่งลาออกจากมหาวิทยาลัย เขาใฝ่ฝันที่จะเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงในอนาคต แต่ปัจจุบันนั้นเขามีสองสิ่งที่ต้องการโดยด่วน หนึ่งก็คืองานและสองก็คือความหมายของชีวิต ซึ่งการที่เขาได้ทำงานร่วมกับนักสะกดจิตไฮเปอร์คนนี้ ก็สามารถช่วยเติมเต็มให้กับสิ่งแรกได้ แต่ความต้องการอย่างที่สองของ ทรอย ก็คงเป็นปัญหาที่เขาต้องขบคิดอยู่ โดยเฉพาะพ่อของเขา (ทอม แฮงค์ส) ที่คิดว่าลูกของตัวเองยังอยู่ในมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม ด้วยความสามารถของ ทรอย และการเล่นตลกของโชคชะตา ก็ทำให้ บั๊ค กลับมานั่งอยู่ในใจของประชาชนชาวอเมริกันอีกครั้ง และเมื่อ บั๊ค ตัดสินใจพา ทรอย ออกเดินทางเปิดการแสดงทั่วประเทศ มันก็เป็นการเดินทางที่มีความหมายต่อการค้นพบความหมายของชีวิต เพราะขณะที่แสงไฟได้สาดส่องลงมาหา บั๊ค เขาก็ได้กลายเป็นครูที่สอนให้ ทรอย รู้จักการใช้ชีวิต ในแบบที่มหาวิทยาลัยไหนๆก็ไม่สามารถมอบให้กับเขาได้ เกี่ยวกับภาพยนตร์ The Great Buck Howard คือภาพยนตร์ตลกเล่าถึงชายสองคนที่มีบุคคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งก็คือ บั๊ค โฮเวิร์ด นักสะกดจิต และ ทรอย ผู้จัดการส่วนตัวของเขา โดยเส้นทางที่ทั้งคู่ต้องร่วมกันเดินนั้น บ่อยครั้งไปที่มันอาจดูเป็นเรื่องที่สุดเซอร์เรียล ณอน แม็คกินลี่ย์ คนเขียนบท/ผู้กำกับเองก็มีประสบการณ์มาบ้างในสถานการณ์แบบนี้ "ผมเคยเข้าเรียนในโรงเรียนกฏหมายเช่นเดียวกับ ทรอย และลาออกหลังจากเรียนได้สักพัก ผมนำเงินที่กู้เพื่อการเรียนไปใช้ตั้งตัวที่เมืองลอส แองเจลิส ซึ่งผมไม่รู้จักใครหรือข้อมูลใดๆเกี่ยวกับเมืองนี้เลย พูดง่ายๆคือผมเหมือนกับเป็นบ้านนอกเข้ากรุง ผมไม่เคยมีประวัติการทำงานเลย และผมก็ไม่ใช่อัจฉริยะตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นผมจึงมีอาชีพที่ฟังดูตลกในฮอลลิวู้ดมากมาย แต่นั้นก็ทำให้ผมได้พบกับคนแปลกๆหลายคน ที่เหมือนกับเป็นส่วนเกินของโลกมายาใบนี้" โดยหัวใจของเรื่องนั้น แม็คกินลี่ย์ ได้อธิบายว่า มันไม่มีอะไรที่สายเกินไปหรอก สำหรับใครบางคนที่อยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ “บั๊ค และ ทรอย ได้รู้จักกันในช่วงเวลาที่สำคัญในชีวิต ในขณะที่ บั๊ค อาจไม่ใช่คนที่ความประสบความสำเร็จในความคิดของ ทรอย แต่อย่างน้อย บั๊ค ก็มีแรงปรารถนาและมีความสามารถจริงๆ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ทรอย ก็ได้เรียนรู้ว่า มันเป็นไปได้สำหรับการการใช้ชีวิตและทำในสิ่งที่คุณรัก สำหรับ บั๊ค แล้ว เขาพยายามที่จะกลับไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ การที่ตัวเองได้ใช้ชีวิตอยู่ในความฝันมาตั้งแต่แรกแล้ว” ซึ่งเรื่องราวที่กินใจและตลกของ กินลี่ย์ นี้เอง ที่ทำให้ โคลิน แฮงค์ส รู้สึกสนใจ "ผู้จัดการของผมส่งบทภาพยนตร์มาจำนวนมหาศาล ซึ่ง The Great Big Howard ก็อยู่ในกองนั้น และด้วยความที่เป็นคนสมาธิสั้นเช่นผม ก็ทำให้ตัวเองลืมมันไปจนหมดสิ้น วันหนึ่งผู้จัดการของผมโทรมาถามว่า ผมได้นั่งอ่านบทภาพยนตร์พวกนั้นบ้างหรือยัง ผมตอบด้วยความละอายแก่ใจว่า ‘ยัง’ เขาจึงบอกให้ผมเริ่มอ่านเรื่อง The Great Buck Howard ก่อน เพราะเขารู้ว่าผมคงชอบมัน... ชอบมันเหรอ ผมรักมันเลยล่ะ! ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายผมไม่สามารถวางมันลง ผมโทรกลับไปหาผู้จัดการและบอกเขาว่าให้ทำการนัดคุยกับ ณอน ทันที" บทภาพยนตร์ของเรื่องนี้ก็ยังไปอยู่ในมือของ แกรี่ โกเอทส์แมน ที่ตกหลุมรักมันเช่นเดียวกัน โดยเขาก็ส่งต่อไปให้กับ ทอม แฮงค์ส คู่หูผู้อำนวยการสร้างที่รู้สึกตื่นเต้นกับบทนี้ไม่แพ้กัน ในที่สุด Playtone สตูดิโอหนังของพวกเขา ก็รับหน้าที่ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ณอน แม็คกินลี่ย์ รู้สึกตื่นเต้นในการได้ โคลิน มารับบทเป็น ทรอย เขารู้ทันทีเลยว่า โคลิน จะสามารถถ่ายทอดเอาความตลกและจังหวะดราม่าที่มีอยู่ในบท รวมถึงลักษณะนิสัยของ ทรอย ที่ทั้งอ่อนไหว, สับสนและมีอารมณ์ขันร้ายๆออกมาได้อย่างหมดเปลือก แม็คกินลี่ย์ เล่าว่า "ผมต้องการนักแสดงที่สามารถรับมือได้ทั้งบทตลกและดราม่า ซึ่งหลังจากได้ดู Orange County แล้ว ผมก็รู้ว่า โคลิน เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด โดยมันอยู่ในช่วงระยะเวลาประมาณ 2 ปีที่เขาตกลงรับบทนี้ จนถึงช่วงเวลาที่หนังเริ่มถ่ายทำ ดังนั้นพวกเราจึงมีเวลามากในการมานั่งคุยถึงเรื่องตัวละครกัน โดย โคลิน มีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการคัดเลือกนักแสดง ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่เราเริ่มถ่ายทำจริงๆ เขาจึงเข้าใจในตัวตนของ ทรอย อย่างเต็มเปี่ยม" โกเอทส์แมน พูดถึงผู้กำกับว่า "ณอน เป็นคนที่ช่างคิดและอารมณ์ดี เขาคือผู้กำกับ/นักเขียนบทหนุ่ม ที่มั่นใจกับสิ่งที่เขามุ่งหวังเอาไว้ เขาชอบปล่อยให้นักแสดงคิดมุขสดและสร้างบรรยากาศในการทำงาน ที่เหมาะกับการกำเนิดของความคิดสร้างสรรค์ ผมคิดว่ามันสะท้อนให้เห็นถึงประเด็นของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เหมือนกัน" ภารกิจต่อไปคือ การหาตัวนักแสดงที่จะมารับบทเป็น บั๊ค โฮเวิร์ด แม็คกินลี่ย์ เล่าว่า “เมื่อ จอห์น ได้เข้ามาแต่งหน้าและสวมบทเป็น บั๊ค โฮวาร์ด น้ำตาผมก็รู้สึกเอ่อล้นขึ้นมาทันทีเลย เขาดูเหมือนอย่างที่ผมจินตนาการเอาไว้ทุกอย่าง พวกเราเริ่มที่ถ่ายภาพนิ่งของเขา ซึ่ง จอห์น ก็โพสท่าและยิ้มแบบที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน ช่วงเวลานั้นผมมั่นใจทันทีเลยว่า เขาสามารถแสดงเป็น บั๊ค โฮเวร์ด ได้อย่างยอดเยี่ยมแน่นอน” เหมือนกับ โคลิน แฮงค์ส บทภาพยนตร์เป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของ จอห์น มัลโควิช "บทภาพยนตร์ถูกส่งมาให้ผม ซึ่งผมก็อ่านมันอย่างรวดเร็ว ผมรู้สึกชอบมันมาก มันทั้งตลกและมีความลึกซึ้ง ผมคิดว่า บั๊ค โฮเวิร์ด น่าจะเป็นตัวละครที่ทำให้ผมมีความสุขอย่างมหาศาลในการแสดง" โกเอทส์แมน เสริมว่า "ผมคิดว่า จอห์น เหมาะสมที่สุดในการรับบทเป็น บั๊ค โฮเวิร์ด ซึ่งตัวละครนี้เป็นอาจเป็นคนที่พวกเราทุกคนรู้จักในระดับหนึ่ง พฤติกรรมของ บั๊ค อาจดูน่าขันและไม่น่าคบ อย่างไรก็ตาม จอห์น ก็สามารถทำให้เขามีความเป็นมนุษย์, เศร้า, ตลก และเป็นตัวละครที่เราสามารถเชื่อมถึงได้อย่างน่าอัศจรรย์” แฮงค์ส เองก็รู้สึกตื่นเต้นในการร่วมงานกับนักแสดงในตำนานอย่าง จอห์น มัลโควิช "จอห์น มีออร่าบางอย่างที่ผมรู้สึกถึงได้ตลอดเวลา ไม่เพียงแค่ จอห์น เป็นนักแสดงที่เก่งกาจ แต่เขายังเป็นคนที่มีนิสัยยอดเยี่ยมในการร่วมงานอีกด้วย" มัลโควิช พูดถึงผู้กำกับว่า "ณอน ไม่ใช่ผู้กำกับที่คอยควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ผมคิดว่าเขาเป็นผู้กำกับที่ชอบผลักคุณไปจนสุดขอบเขตของการแสดง สนับสนุนให้คุณค้นพบด้วยตัวเองว่า ยังมีอะไรที่ตัวเองอยากทำออกมาอีกหรือเปล่า โดยเขาจะเป็นแค่ผู้สังเกตุการณ์ โดยที่ถึงแม้พวกเราถ่ายทำกันตามบทภาพยนตร์ แต่เขาก็ให้พวกเราทำอะไรที่แปลกแตกต่าง" ในช่วงเริ่มต้นของภาพยนตร์ ทรอย ลาออกจากโรงเรียนกฏหมาย และค้นพบว่าเขากำลังล่องลอยอยู่ในโลกที่ตัวเองไม่คุ้นเคย เขาไร้แรงจูงใจใดๆ เขาไม่มีเพื่อนแท้หรือครอบครัวที่คอยห่วงใย ในขณะเดียวกัน บั๊ค โฮเวิร์ด ก็เป็นพวกฉายเดี่ยวและเป็นคนที่ไม่มีรากเช่นกัน ชีวิตของเขาคือการเป็นนักแสดงโชว์ ที่ต้องเดินทางจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งตลอดเวลา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมาจากเส้นทางที่ต่างกัน แต่ทั้งสองได้พบและรู้จักกัน โดยที่ บั๊ค ยังนึกว่าตัวเองเป็นดาราดัง ถึงแม้ว่าชื่อเสียงของเขาจะจางหายไปนานแล้ว แต่เขาก็ยังสามารถตระเวนไปแสดงตามเมืองเล็กๆ ที่เขายังเป็นที่จำได้ของคนอยู่ ทั้งสองได้เดินทางร่วมกัน ซึ่งสุดท้ายแล้ว ทรอย ก็เข้าใจว่างานของเขานั้นคือ การปกป้องไม่ให้ บั๊ค รู้สึกได้ถึงความโหดร้ายในโลกแห่งความเป็นจริง แต่แล้วความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของทั้งคู่ก็ต้องสั่นคลอน เมื่อ วาเลรี่ พีอาร์สาวที่เปรี้ยวแก๋และสวยสุดๆ ได้เข้ามาร่วมเดินทางไปกับ บั๊ค และ ทรอย ซึ่งตัวละครนี้ก็ได้ เอมิลี่ บลันท์ จาก The Devil Wear Prada มารับหน้าที่ในการแสดง บลันท์ พูดถึงตัวละครที่เธอเล่นว่า "วาเลรี่ เป็นหญิงสาวที่มีความทะเยอทะยาน เธอแทบไม่เชื่อว่าตัวเองต้องมาทำงานกับพวกดาวร่วงไปแล้วแบบนี้ แทนที่จะเป็นคนอย่าง ทอม ครูส หรือใครก็ตามที่ดังๆพอกับเขา" อย่างไรก็ตาม วาเลรี่ และ ทรอย เริ่มที่จะเข้าใจซึ่งกันและกัน โดย บลันท์ เล่าต่อว่า "ตัวละครทั้งสองนั้น อาจจะเป็นคู่ที่ไม่น่าเข้ากันได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่พวกเขาก็ติดอยู่ในสถานการณ์ที่น่าหงุดหงิดเช่นเดียวกัน ในที่สุดทั้งคู่ก็สามารถหาจุดที่เชื่อมต่อกันจนพบ แต่ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองไม่ได้เป็นที่ปลาบปลึ้มของ บั๊ค เมื่อเขาพบว่าตัวเองไม่ใช่จุดศูนย์กลางของความสนใจอีกต่อไป” โกเอทส์แมน อธิบายถึงบุคคลิกของ บั๊ค ว่า "เขาก็เป็นเหมือนทุกคนที่พยายามไคว่คว้าหาความดัง ไม่ว่าคุณจะดังมากเท่าไร ไม่ว่าคุณจะมีเงินมากแค่ไหน หรือว่าความรักความเทิดทูนที่คุณได้รับจากแฟนๆ มันก็ไม่เคยเพียงพอต่อความต้องการของคุณอย่างแน่นอน" สิ่งที่ช่วยเสริมสร้างบุคคลิกภาพของ บั๊ค โฮเวิร์ด ก็คือเครื่องแต่งกายที่ออกแบบโดย โจเน็ตต้า บูน "ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้รับโอกาสในการทำงานให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะว่ามันทำให้ฉันสร้างสรรค์สิ่งที่ดูหลุดโลกไปเลย แทนที่จะสร้างอะไรที่ดูธรรมดาเหมือนหนังทั่วไป" เธอเล่าต่อว่า "ฉันได้พยายามที่จะเล่นสีต่างๆให้ฉูดฉาด ฉันตัดสินใจใส่ดอกไม้ลงไปในเสื้อลายทางที่มีหลากหลายเฉดสี โดยสีที่ฉันเลือกไปนั้น ก็อาจจะดูโอเวอร์ไปหน่อยสำหรับผู้ชายทั่วไป" โกอิซแมน ได้สรุปถึงการแต่งกายของตัวละครนำว่า "เครื่องแต่งกายของ บั๊ค ดูมีความเป็นเอกลักษณ์อย่างที่สุด มันทั้งคมเข้ม, ทันสมัย, รีโทร ทุกอย่างถูกรวมอยู่ในชุดเดียวกัน นักมายากล vs นักสะกดจิต ผู้ที่ฝึกฝนการสะกดจิต คือผู้ที่ใช้พลังจิตในการสร้างมายาลวงตา หรือการอ่านใจและควบคุมจิตใจคน ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทรอย ได้ถาม บั๊ค ในการพบกันครั้งแรกว่า เขาเป็นนักมายากลหรือปล่าว ซึ่ง บั๊ค ก็แก้ไขความเข้าใจของ ทรอย อย่างทันทีว่า "ผมฝึกเป็นนักมายากลตั้งแต่ 3 ขวบ แต่ผมก็พัฒนาตัวเองขึ้นไปแล้ว ไม่ใช่ว่าผมจะจงเกลียดจงชังพวกนักมายากลหรอกน่ะ แต่ผมจะดีใจมากถ้าพวกเขาตายไปซะให้หมด" ซึ่งความแตกต่างระหว่างนักสะกดจิตและนักมายากล ดูเหมือนทำให้ทั้งทีมงานและกลุ่มนักแสดงรู้สึกสับสนอยู่เหมือนกัน มัลโควิช มีความคิดเห็นในข้อข้องใจนี้ว่า "บั๊ค เป็นพวกที่เรียกตัวเองว่า “นักสะกดจิต” ซึ่งก็คือพวกที่แสดงโชว์เช่นการอ่านใจคนและการทำนายเหตุการณ์ต่างๆ... อืมม ก็ไม่เชิงว่าพวกเขาจะอ่านใจคนได้น่ะ ผมคิดว่ามันเป็นการชี้จูงจิตใจคนมากกว่า ซึ่งผมก็ได้ยินมาว่ามันฮิตมากในอดีต" ตัวของ โคลิน แฮงค์ส เองก็ไม่ค่อยเข้าใจถึงศิลปะในการเป็นนักสะกดจิตเช่นกัน “ก่อนที่พวกเราจะสร้างเรื่องนี้ ผมไม่ค่อยรู้ถึงความแตกต่างระหว่างการเป็นการสะกดจิตและมายากล ซึ่งพอถึงช่วงระหว่างการถ่ายทำ ผมเองก็เริ่มเข้าใจถึงเส้นแบ่งระหว่างสองสิ่งบ้าง สุดท้าบแล้วตอนที่เราถ่ายทำกันเสร็จสิ้น... ผมขอสารภาพจากใจเลยน่ะว่า มันก็ยังงงๆอยู่ดีนั้นแหละ" สำหรับ แม็คกินลี่ย์ แล้ว ความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนั้นคงไม่สามารถหาข้อยุติได้ เขาเล่าว่าความสามารถที่แท้จริงของ บั๊ค โฮเวิร์ด นั้นก็คือการเข้าใจถึงความใฝ่ฝันของตัวเอง “สิ่งที่ผมได้เรียนรู้มาจากคนที่มีนิสัยแปลกๆในช่วงที่ผมเดินทางมาฮอลลิวู้ดใหม่ๆ และประสบการณ์ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ นั้นก็คือความพึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ และการเติมเต็มชีวิตด้วยการเดินตามหัวใจของตัวเอง และนั้นก็คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ สำหรับผมแล้วมันคือเวทย์มนต์ที่แท้จริง" ประวัติของ “The Amazing Kreskin” นักสะกดจิตผู้ยิ่งใหญ่ เขาคิอนักแสดงโชว์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด เขามีความตลกบนเวทีเฉกเช่นเดี่ยวไมโครโฟน เขามีความสามารถในการอ่านใจคนอย่างน่าทึ่ง The Amazing Kredkin คือชื่อที่ยืนยงคงกระพันอยู่ในเส้นทางนี้มามากกว่า 6 ทศวรรษ ชื่อของเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของทุกชาติ และเป็นที่กล่าวขานจากสื่อของทั่วทุกมุมโลก เขาเกิดในมืองมอนด์แคลร์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ เมื่อตอนเด็กเขาได้ร่วมเล่นเกมส์ "ซ่อนหา" ซึ่งทำให้ Kreskin ได้ค้นพบความสามารถของตัวเอง ที่สามารถหาคนซ่อนได้อย่างไม่ยากเย็น ความสามารถในการอ่านใจของเขาขยายออกกว้างขึ้นไป แม้ว่าตัวเองยังเป็นเด็ก แต่เขาก็กลายเป็นที่รู้จักไปทั้งประเทศ และผู้คนต่างพร้อมใจขนานนามเขาว่า "นักสะกดจิตที่อายุน้อยที่สุดในโลก" ในช่วงปลายของวัยรุ่น การอ่านใจของเขาได้กลายเป็นไฮไลท์สำคัญในการแสดงของเขา ซึ่งกลสุดท้ายของเขา ก็คือการที่ขอให้ใครก็ได้ นำเช็คเงินสดไปซ่อนที่ไหนก็ได้ในสถานที่การแสดง โดยสัญญาว่าถ้าเขาหามันไม่พบ ก็ขอให้คนคนนั้นยึดเอาเช็คค่าจ้างไปได้เลย เป็นเวลาหลายทศวรรษ ที่ผู้ชมทุกเพศทุกวัยถูกดึงดูดโดยนักแสดงในตำนานคนนี้ จะมีดาราสักกี่คนที่มีทีวีซีรี่ย์เป็นของตัวเอง มีเกมส์กระดานที่ถูกสร้างในธีมของตัวเอง มีหนังสือที่พูดถึงตัวเองตีพิมพ์มากกว่า 16 เล่ม และมีเพลงเปิดตัวที่แต่งขึ้นมาเพื่อตัวเขาเอง ยังไม่รวมถึงรายการโชว์ไม่ต่ำกว่า 100 รายการ การแสดงของเขาถูกรับชมไปทั่วทั้งโลก และเขาก็บินไปมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ล้านไมล์ The Amazing Kreskin กลายเป็นที่ปรึกษาของตำรวจและหน่วยงานรักษาความปลอดภัยไปทั่วทั้งโลกตะวันตก โดยเขายังได้เสนอ 50,000 เหรียญ สำหรับใครก็ตามที่พิสูจน์ได้ว่าเขามีผู้ช่วยหรือกำลังหลอกคนดู ซึ่งคำท้าทายนี้ก็คงยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน และเขาก็ยังถูกเรียกว่า เป็นนอสตราดามุสแห่งศตวรรษที่ 20 เลยทีเดียว ทีมนักแสดง จอห์น มัลโควิช (รับบทเป็น บั๊ค โฮเวิร์ด) ผลงาน >> Burn After Reading, Changeling, Beowulf, Art School Confidential, Color Me Kubrick, Being John Malkovich, Con Air, The Portrait of a Lady, In the Line of Fire, Dangerous Liaisons, The Killing Fields โคลิน แฮงค์ส (รับบทเป็น ทรอย) ผลงาน >> King Kong, Orange County, Get Over It, Alone With Her, Standing Still, Rx, 11:14, Whatever It Takes เอมิลี่ บลันท์ (รับบทเป้น วาเลรี่) ผลงาน >> Sunshine Cleaning, Gideon’s Daughter, The Devil Wears Prada, Dan in Real Life, The Jane Austen Book Club, The Young Victoria สตีฟ ซาห์น (รับบทเป็น เคนนี่) ผลงาน >> Rescue Dawn, A Perfect Getaway, Night Train, Out of Sight, Riding in Cars with Boys, That Thing You Do!, Sahara, Joy Ride, Saving Silverman, Safe Men, You’ve Got Mail, The Object of My Affection ทีมงานสร้าง ณอน แม็คกินลี่ย์ (ผู้กำกับ/เขียนบท) ผลงาน >> Two Days, Brothers Lost ทอม แฮงค์ส (ผู้อำนวยการสร้าง) ผลงานที่อำนวยการสร้าง >> My Big Fat Greek Wedding, The Ant Bully, The Polar Express, Mamma Mia!, Charlie Wilson’s War ทั๊ค ฟูจิโมโต้ (ผู้กำกับภาพ) ผลงาน >> Melvin and Howard, Devil in a Blue Dress, The Silence of the Lambs, Philadelphia, The Manchurain Candidate, The Truth About Charlie, Final Cut, Belove, A Thousand Acres, as well as Swing Shift, Pretty in Pink, Married to the Mob, Grumpier Old Men, That Thing You Do!, The Replacements, The Sixth Sense, Signs, The Happening แกรี่ ฟรุ๊ตค๊อฟ (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ผลงาน >> King Of The Hill, Out Of Sight, The Limey, Devil In A Blue Dress, Zero Effect โจเน็ตต์ บูน (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) ผลงาน >> Beloved, Runaway Bride, The Notebook, Syriana ไมรอน เคอร์สไตน์ (ผู้ตัดต่อภาพ) ผลลงาน >> In Good Company, American Dreams, Garden State, Nick and Norah’s Infinite Playlist, Hedwig and the Angry Inch, Velvet Goldmine, The Myth of the Fingerprints

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ