จุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ดราม่ารวมดาว Fireflies in the Garden

ข่าวบันเทิง Thursday May 14, 2009 10:54 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--14 พ.ค.--สหมงคลฟิล์ม ก็เหมือนกับนักเรียนที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนภาพยนตร์ โดยเฉพาะคนที่มีผลงานหนังสั้น ที่ได้รับรางวัลมากมายอย่างเรื่อง Jesus Henry Christ เพราะผู้กำกับ เดนนิส ลี ก็ดูกระหายที่จะสร้างหนังใหญ่เร็วๆ แต่สัญญาที่เขาทำไว้กับค่ายหนังแห่งหนึ่งก็ไม่เคยให้โอกาสเขาสักที แถมบทภาพยนตร์เรื่อง Fireflies in the Garden ของ ลี ก็ยังถูกบอกปัดจากสตูดิโอทั่วทั้งฮลลลิวู้ด เขาจำถึงเหตุการณ์นั้นได้ว่า "พวกเขามักบอกผมว่า 'พวกเราชอบบทภาพยนตร์นี้มากนะ แต่ไม่รู้ว่าจะทำการตลาดกับมันยังไงดี'" เมื่อความฝันของเขาหยุดนิ่ง และด้วยความหงุดหงิด ลี จึงตัดสินใจยืมเงินของครอบครัวและญาติๆมาเป็นจำนวน 500,000 เหรียญ และโทรขอร้องทุกคนที่เขารู้จัก เพื่อช่วยให้เขาสามารถสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ก่อนที่เขาจะเริ่มการสร้างหนังเล็กๆนี้เพียงสองเดือน มาร์โค เว็บเบอร์ ประธานบริษัท Senator Entertainment ก็ติดต่อมาหาผู้ชายที่กำลังปีกกล้าขาแข็งคนนี้ และตกลงที่จะให้ทุนสร้างซึ่งมากกว่าเงินทุนที่เขารวบรวมได้ถึง 15 เท่า ลี พูดถึงสตูดิโอที่รับเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งว่า "ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก และมันยังเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ เพราะพวกเขาไม่เข้ามาแทรกแซงอะไรเลย พวกเขาชอบบทภาพยนตร์นี้ในแบบที่มันเป็นอยู่แล้ว" ลี บอกว่าเขาใช้บทภาพยนตร์นี้เพื่อเล่าถึงประสบการณ์จริง ซึ่งเกี่ยวกับพ่อผู้แข็งกระด้างและซ่อนอารมณ์ที่แท้จริงเอาไว้ ภายใต้ความฉุนเฉียวรุนแรง รวมถึงครอบครัวของเขาที่มารวมตัวกันเมื่อเกิดโศกนาฏกรรมบางอย่าง ซึ่งด้วยลักษณะของบทสนทนา ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษยปุถุชนจริงๆแบบไม่ถูกปรุงแต่ง ก็ทำให้เหล่านักแสดงชั้นแนวหน้าของฮอลลิวู้ด ไม่ว่าจะเป็น ไรอั้น เรย์โนลด์, จูเลีย โรเบิร์ต, วิลเล่ม เดโฟ, แคร์รี่ แอน มอส, เอมิลี่ วัตสัน, เฮย์เด็น พาเน็ตเทียร์ และ ไอออน กรัฟฟัดด์ พากันมาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่เพียงเท่านั้น ภาพยนตร์เรื่อง Fireflies in the Garden ยังได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่เปิดฉายในเทศกาลหนังเมืองเบอร์ลิน ครั้งที่ 58 อีกด้วย จากบทภาพยนตร์เล็กๆที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ กลายเป็นโปรเจ็คหนังดราม่าที่เนืองแน่นไปด้วยเหล่านักแสดงชั้นนำ ซึ่งนี้เองก็ทำให้ตัวผู้กำกับใหม่อย่าง เดนนิส ลี ยังสารภาพว่า เขาไม่เคยคิดเลยว่าบทสรุปมันจะกลายเป็นแบบนี้ "ผมว่ามันเป็นประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้ มันเหมือนกับ... ฝันที่เป็นจริง"

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ