กรุงเทพฯ--10 ก.ค.--พม.
          พม. แถลงข่าวจัดโครงการสู่มาตุภูมิ ครั้งที่ ๖ ระหว่าง ๑๙ — ๒๕ ก.ค.นี้  รับขวัญลูกหลานไทยกลับสู่แผ่นดินแม่  เรียนรู้ตัวตน ภาคภูมิใจในความเป็นไทย    
          ที่สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี  นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา  อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ  เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงานโครงการสู่มาตุภูมิ ครั้งที่ ๖ (The Nativeland Visit Program VI)  เพื่อให้เด็กไทยที่เป็นบุตรบุญธรรมในครอบครัวชาวต่างประเทศได้เดินทางกลับมาเยี่ยมประเทศบ้านเกิด รู้จักขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมความเป็นไทย  ระหว่างวันที่ ๑๙ — ๒๕ ก.ค.นี้  มีเด็กพร้อมครอบครัว จาก ๑๔ ประเทศ  และผู้แทนจากองค์การสวัสดิภาพเด็กต่างประเทศชาวต่างประเทศ กว่า ๓๐๐ คน  ร่วมกิจกรรม
          นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา  อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ  กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  กล่าวว่า  ปัญหาการทอดทิ้งเด็กในประเทศไทย ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะวิกฤตของสังคมและเศรษฐกิจ ได้ส่งผลกระทบต่อการดำรงอยู่ของสถาบันครอบครัว เกิดปัญหาครอบครัวแตกแยก ล่มสลาย เด็กไม่ได้รับความอบอุ่น เกิดปัญหาสังคมอื่น ๆ ตามมา เช่น การตั้งครรภ์นอกสมรสหรือไม่พึงประสงค์  ถูกล่วงละเมิดทางเพศ  ความไม่พร้อมในการเลี้ยงดูบุตร  ทำให้เกิดการทอดทิ้งเด็ก  ทั้งในโรงพยาบาล  สถานที่สาธารณะ  ผู้รับจ้างเลี้ยง/ญาติ เป็นต้น  ที่ผ่านมา กระทรวงฯได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ป้องกันปัญหามารดาทอดทิ้งบุตรภายหลังคลอดในโรงพยาบาล  รวมทั้งให้การช่วยเหลือดูแลอุปการะเด็กที่พ่อแม่ไม่มีความพร้อมเป็นการชั่วคราวและถาวร  ส่วนเด็กที่ถูกทอดทิ้ง เมื่อรับเข้าไว้ในความอุปการะแล้วก็จะติดตามสืบหาครอบครัวเดิม เพื่อส่งเด็กคืนให้กับครอบครัว หรือญาติโดยเร็วที่สุด  สถิติการรับเด็กเข้าอุปการะ พบว่ามีแนวโน้มลดลง  คือ ปี ๒๕๔๙ จำนวน ๒๐๒ คน  ปี ๒๕๕๐ จำนวน ๑๙๐ คน ปี ๒๕๕๑ จำนวน ๑๓๖ คน  และ ปี ๒๕๕๒ (พ.ค.) จำนวน ๘๑ คน  โดยปัจจุบันมีเด็กถูกทอดทิ้งและเด็กที่ครอบครัวประสบปัญหาต่างๆ ไม่สามารถเลี้ยงดูได้อยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์เด็กอ่อน ๘ แห่งทั่วประเทศ  จำนวน ๑,๗๓๑ คน     
          “เด็กถูกทอดทิ้ง และเด็กที่ครอบครัวไม่สามารถเลี้ยงดูได้และมอบให้อยู่ในความอุปการะของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการโดยเด็ดขาด เช่น มารดาเด็กเป็นบุคคลเร่ร่อน มีอาการทางจิต ครอบครัวยากจน หรือตั้งครรภ์นอกสมรส เป็นต้น  ศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม  ก็จะจัดหาครอบครัวบุญธรรมให้แก่เด็กได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. การรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ.๒๕๕๒  เพื่อเป็นการป้องกันการซื้อขายเด็ก คุ้มครองสวัสดิภาพ และสิทธิของเด็กที่เป็นบุตรบุญธรรม บิดามารดาบุญธรรม และบิดามารดาผู้ให้กำเนิด ในการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมทั้งคนไทยและต่างประเทศจะต้องผ่านการตรวจสอบทั้งคุณสมบัติ ความเหมาะสมทั้งด้านกฎหมายและสังคม  ปัจจุบันได้มอบเด็กให้แก่ครอบครัวชาวไทย ๘๒,๐๒๙ คน  ครอบครัวชาวต่างชาติ ๑๐,๐๒๐ คน  รวม ๙๒,๐๔๙ คน”  นางพนิตา  กล่าว   
          สำหรับโครงการสู่มาตุภูมิ (Nativeland Visit Program)  กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้จัดขึ้นทุก ๓ ปี  เพื่อให้เด็กไทยที่เป็นบุตรบุญธรรมในครอบครัวชาวต่างประเทศได้เดินทางกลับมาเยี่ยมแผ่นดินเกิด  ได้รู้จักเรียนรู้ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมความเป็นไทย  เพื่อให้เกิดความรัก ความผูกพัน และความภาคภูมิใจในประเทศบ้านเกิด  อีกทั้งยังเป็นการติดตามผลการเลี้ยงดูเด็กอีกทางหนึ่งด้วย 
          “การติดตามผลเด็กไทยในครอบครัวชาวต่างชาติ ทำในหลายรูปแบบ เช่น ผู้บริหาร พม. เข้าร่วมประชุมงานบุตรบุญธรรมระหว่างประเทศ  ก็จะมีโอกาสได้เยี่ยมครอบครัวบุญธรรม หรือครอบครัวบุญธรรม ได้พาบุตรบุญธรรมมารับน้องบุญธรรมเพิ่มขึ้น  รวมทั้งกลับมาเยี่ยมสถานสงเคราะห์เด็กที่เคยอยู่ พบกับพี่เลี้ยง และมีหลายครอบครัวได้แจ้งขอให้ติดตามหาครอบครัวที่แท้จริง  หรือบุตรบุญธรรมที่โตแล้ว เดินทางมาท่องเที่ยว และได้พบกับนักสังคมสงเคราะห์ของศูนย์ฯ  ส่วนใหญ่ได้แจ้งความจำนงขอให้ติดตามบิดา มารดาผู้ให้กำเนิด เป็นต้น”  นางพนิตา  กล่าว
          นางพนิตา  กล่าวด้วยว่า  โครงการดังกล่าวได้จัดมาแล้ว ๕ ครั้ง  และในโอกาสครบรอบ ๓๐ ปี ของการจัดตั้งศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม  และการประกาศใช้ พ.ร.บ.การรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ.๒๕๕๒  กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้กำหนดจัด “โครงการสู่มาตุภูมิ ครั้งที่ ๖” ขึ้น ระหว่างวันที่ ๑๙ — ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒  โดยมีครอบครัวชาวต่างประเทศเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น ๑๐๐ ครอบครัว จาก ๑๔ ประเทศ  คือ ไอร์แลนด์  ออสเตรเลีย  สหราชอาณาจักร  ฟินแลนด์  นอร์เวย์  สหรัฐอเมริกา  ฝรั่งเศส  เยอรมนี  สวิสเซอร์แลนด์  แคนาดา  เดนมาร์ก  นิวซีแลนด์  สวีเดน  และเนเธอร์แลนด์  เข้าร่วมกิจกรรมสำคัญ ๆ  อาทิ  การเข้าพบบุคคลสำคัญของไทย  การเยี่ยมชมสถานที่สำคัญ  และการเยี่ยมสถานสงเคราะห์เด็กซึ่งเป็นบ้านเดิมของเด็ก เป็นต้น