เรื่องย่อจีจ้า ญาณิน ดื้อสวยดุ

ข่าวบันเทิง Monday July 20, 2009 16:12 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 ก.ค.--สหมงคลฟิล์ม พลิกโฉมหน้า JIJA “เล่นจริง เจ็บจริง”ที่คุณเคยรู้จัก สู่ย่างก้าวที่สองที่“สวิงกว่าเดิม” ตอกย้ำความเป็นแอ็คชั่นฮีโร่หญิงที่โลกต้องจับตา JIJA ดื้อ สวย ดุ ภาพยนตร์ACTION —ROMANATICที่เน้นศิลปะการต่อสู้เต็มรูปแบบ จากผลงานการกำกับโดย ราเชนทร์ ลิ้มตระกูล ภาพยนตร์จีจ้า ญาณิน ดื้อสวยดุ” กำหนดฉาย 12 สิงหาคม พ.ศ.2552 ผู้สร้างและจัดจำหน่าย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทดำเนินงานสร้าง บาแรมยู แนว แอ็คชั่น-โรแมนติค อำนวยการสร้าง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ กำกับภาพยนตร์ ราเชนทร์ ลิ้มตระกูล ควบคุมการสร้าง ปรัชญา ปิ่นแก้ว,พันนา ฤทธิไกร,สุกัญญา วงศ์สถาปัตย์ บทภาพยนตร์ สมภพ เวชชพิพัฒน์ เรื่อง สมภพ เวชชพิพัฒน์,ราเชนทร์ ลิ้มตระกูล กำกับภาพ ธีระวัฒน์ รุจินธรรม,ธนชาติ บุญหล้า,เฉลิม วงค์พิมพ์ ลำดับภาพ ราเชนทร์ ลิ้มตระกูล,วิชิต วัฒนานนท์ ดนตรีประกอบและออกแบบเสียง คณิศร พ่วงจีน ออกแบบและกำกับการต่อสู้ วีระพล ภูมาตย์ฝน ควบคุมฉากต่อสู้ พันนา ฤทธิไกร ออกแบบเครื่องแต่งกาย เกียรติชัย คีรีศรี กำกับศิลป์ มาโนช ทองสุก ออกแบบงานสร้าง สุธรรม วิลาวัลย์เดช แต่งหน้า ปริญญา ปานตั้น ทำผม เชิดศักดิ์ ชมงาม เพลงประกอบภาพยนตร์ ยังไหว (ขับร้องโดย BUDDHA BLESS เนื้อร้อง BUDDHA BLESS ดนตรี Spyda Monkee ทำนอง อุ๋ย เรียบเรียง Spyda Monkee โปรดิวเซอร์ Spyda Monkee ,อุ๋ย) นักแสดง ญาณิน วิสมิตะนันทน์,คาซู แพททริค แทงค์,หนุ่ย แสนแดง,สมพงษ์ เลิศวิมลเกษม,บุญประเสริฐ ศาลางาม,รุ้งตะวัน จินดาซิงห์ เรื่องราวของ “ดื้อสวยดุ” “ในทุกความรักมีการต่อสู้ และในทุกการต่อสู้ล้วนมีความรักเป็นแรงผลักดัน แต่การต่อสู้ครั้งนี้ไม่เพียงมีชีวิตของเธอ และรักแท้ของเขาเป็นเดิมพัน แต่ยังมี “เมรัยยุทธ” ศาสตร์แห่งการต่อสู้ที่ทรงอานุภาพ ฉับไว แปลกตา ด้วยวิถีแห่งการจู่โจมที่พริ้วไหว ยากในการคาดเดา เป็นอาวุธสำคัญที่ทำให้เธอกลายมาเป็น “จีจ้า ดื้อสวยดุ” เมื่อใดก็ตามที่ต้องเผชิญกับความท้อแท้ ผิดหวัง ความเจ็บปวดจากความสูญเสียที่ทำให้รู้สึกเศร้า เสียใจ ว่ากันว่ามีสิ่งหนึ่งที่พร้อมถูกหล่อหลอมขึ้นจากส่วนที่อยู่ลึกที่สุดในจิตใจ แปรเปลี่ยนเป็นพลังแห่งการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ให้กับมนุษย์ทุกคน ซึ่งเรียกว่า “ความรัก” และมันกำลังจะเกิดขึ้นกับ “ดื้อ”(จีจ้า ญาณิน)หญิงสาวที่มีดีกรีความห้าวดีเดือดพอๆกับหน้าตาที่สะสวย แต่ตลอดชีวิตกลับไม่เคยสัมผัสกับ“รักแท้” แม้แต่ครั้งเดียว แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตของดื้อต้องเปลี่ยนไปเมื่อได้พบกับสนิม(คาซู แอ็คชั่นฮีโร่สัญชาติฝรั่งเศสที่มีดีกรีระดับแชมป์เปี้ยน Champion the cup of world WKA (Martial art trickz) และ 1er Grand Prix international de paris of martial art trickz (ปี2002)) ชายแปลกหน้า นัยน์ตาเศร้า ที่ช่วยให้เธอรอดพ้นจากเงื้อมมือของกลุ่มคนลึกลับที่ต้องการบางอย่างในตัวเธอ และนี่คือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าไปสู่โลกอีกด้านหนึ่งที่ดื้อไม่เคยสัมผัสมาก่อน โลกที่มิตรภาพและเพื่อนแท้หาได้จริง โลกที่ทุกคนพร้อมที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ เรียนรู้การใช้ชีวิตโดยมีเป้าหมายเดียวกัน จนเกิดเป็นแรงบันดาลใจสำคัญผลักดันให้ดื้อสนใจในทักษะการต่อสู้ โดยเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ได้มีโอกาสฝึก “เมรัยยุทธ”ที่สุดแห่งศาสตร์การต่อสู้ที่ทรงอานุภาพ ลึกลับ ฉับไว ที่มาพร้อมวิถีแห่งการจู่โจมที่เต็มไปด้วยความพริ้วไหว ล้ำลึก แปลกตา และยากที่จะคาดเดา จากสนิม ซึ่งเป็นผู้ถ่ายทอดให้พร้อมกับมิตรภาพจากเพื่อนใหม่อย่าง ขี้หมู(หนุ่ย แสนแดง แชมป์อันดับ3 ระดับประเทศแบทเทิลออฟเดอะเยียร์5ปีซ้อน)และ ขี้หมา(เฮส สมพงษ์ เลิศวิมลเกษม แชมป์บีบอยภาคเหนือ3สมัยและที่5ของประเทศ4สมัย) กลุ่มคนที่ในอดีตเคยผ่านบาดแผลแห่งความสูญเสียและความเจ็บปวดเช่นเดียวกับดื้อ แต่กลับรวมตัวกันที่จะลุกขึ้นมาเรียนรู้ที่จะต่อสู้เพื่อความรักึ ในขณะเดียวกัน ลอนดอน (รุ้งตะวัน จินดาซิงห์ แชมป์เอเชีย-แปซิกทางด้านเพาะกายหญิงที่มีความสามารถทางด้านยูโด) มือสังหารฝีมือฉกาจถูกส่งมาเพื่อเล่นงานดื้อ สนิมและพรรคพวก ปรากฎตัวขึ้น ทำให้การเผชิญหน้าที่ต้องเดิมพันด้วยชีวิตเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง โดยที่ดื้อและพรรคพวกหารู้ไม่ว่าความสามารถทางการต่อสู้ที่มีอยู่นั้นยังห่างไกลและยากที่จะรับมือ ทางเดียวที่จะสามารถเอาชนะการต่อสู้ในครั้งนี้คือการเข้าถึงแก่นแท้ที่เป็นหัวใจสำคัญของ “เมรัยยุทธขั้นสูงสุด” นั่นหมายความว่าดื้อจะต้องรู้ซึ้งถึงคุณค่าและความหมายของ“รักแท้”ให้ได้เสียก่อนซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ดื้อเองยังไม่เคยสัมผัสมาเลยทั้งชีวิต ถึง แม้ว่า ณ ขณะนี้จะเข้าใจและเรียนรู้ที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อความรักแล้วก็ตาม เตรียมพบกับอุบัติความมันส์ที่ต้องจับตาของการกลับมาของ “จีจ้า ญาณิน แอ็คชั่นเล่นจริง เจ็บจริง สวิงกว่าเดิม” ในภาพยนตร์แอ็คชั่นโรแมนติคสุดเข้มข้นที่มาพร้อมกับการผสมผสานระหว่างศิลปะการต่อสู้หลากหลายรูปแบบ อาทิ MARTIAL ART TRICKZ เข้ากับท่วงท่าของสเต็ปการเต้นบีบอย ,ฟรีรันนิ่ง, ,กายกรรม,เมรัยยุทธ ฯลฯ กับปรากฎการณ์แอ็คชั่นดีไซน์ใหม่ เป็นครั้งแรกในโลกภาพยนตร์ กับ ดื้อสวยดุ 12 ส.ค.นี้ ระเบิดความมันส์พร้อมกันทุกโรงภาพยนตร์ จากความสำเร็จตลอด 1ปีเต็มของ“ช็อคโกแลต” สู่กระแสความนิยมของ “จีจ้าฟีเวอร์” 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2551 “ช็อคโกแลต” ภาพยนตร์แอ็คชั่นไทยระดับโลกเรื่องที่ 3 จากผลงานการกำกับภาพยนตร์ของ “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” (องค์บาก,ต้มยำกุ้ง) ถูกเปิดตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมทั้งนำมาซึ่งความสำเร็จอย่างมหาศาลที่เกิดขึ้นอีกครั้งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์แอ็คชั่นของไทย เมื่อภาพยนตร์เรื่องช็อคโกแลตสามารถกวาดรายได้อย่างถล่มทลายกว่า 80 ล้านบาท (เฉพาะโรงภาพยนตร์ในกรุงเทพ) และยังเป็นการแนะนำให้โลกได้รู้จักกับ “จีจ้า ญาณิน” แอ็คชั่นฮีโร่หญิงคนใหม่ของเมืองไทย หลังจากบ่มเพาะความสามารถ และฝึกฝนการต่อสู้อย่างยาวนานมากว่า 4 ปี ทันทีที่แอ็คชั่นฮีโร่หญิงเจ้าของสโลแกน “เล่นจริง เจ็บจริง” เปิดตัวออกสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก ไม่เพียงได้รับผลตอบ ก่อให้เกิดความชื่นชอบ และชื่นชมในตัวนักบู๊หญิงหน้าหวานจนเกิดเป็นกระแส “จีจ้าฟีเวอร์” ลุกลามไปทั่วประเทศ และไม่เพียงแต่ในเมืองไทยเท่านั้น แต่ยังขยายผลต่อเนื่องไปยังประเทศต่างๆไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง,สิงคโปร์,มาเลเซียเมื่อภาพยนตร์เรื่องช็อคโกแลตเปิดตัวเข้าฉายในประเทศต่างๆ พร้อมความสำเร็จในอันดับภาพยนตร์ทำเงินของแต่ละประเทศ รวมไปถึงการที่ตัวภาพยนตร์ถูกเลือกให้เข้าร่วมฉายในเทศกาลภาพยนตร์ระดับนานาชาติต่างๆจากทั่วโลกในช่วง1ปีที่ผ่านมา อาทิ TORONTO FILM FESTIVAL ประจำปี2008 ในสาย MIDNIGHT MADNESS ซึ่งเป็นสายเดียวกันกับที่ภาพยนตร์แอ็คชั่นระดับโลกของไทยอย่างเรื่ององค์บากเคยสร้างความฮือฮามาแล้ว เทศกาลภาพยนตร์ Mar Del Plata International Film Festival 2008 ที่ประเทศอาร์เจนติน่า ,ภาพยนตร์เรื่องช็อคโกแล็ต ยังได้รับการคัดเลือกได้รับเกียรติให้เป็นภาพยนตร์ฉายเปิดเทศกาล Asia Flim Festival ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ในระหว่างวันที่13 — 22 มี.ค 52 ที่ผ่านมา รวมทั้งยังได้รับเลือกเข้าฉายในเทศกาลภาพยนตร์ Udine Asian Film Festival 2009 ที่ประเทศอิตาลี ในเดือนเมษายนโดยมีปรัชญา ปิ่นแก้วและพันนา ฤทธิไกรเดินทางร่วมเทศกาลโดยผู้ชม และสื่อมวลชนที่ได้รับชมต่างชื่นชอบและยกย่องในความสามารถของจีจ้า นอกจากนี้จีจ้า ญาณินยังมีโอกาสได้เดินทางไปร่วมโปรโมทภาพยนตร์เรื่องช็อคโกแลตที่เข้าฉายในเดือนพ.ค. โดยได้รับการต้อนรับจากสื่อมวลชนและผู้ชมชาวญี่ปุ่นอย่างล้นหลามเมื่อเดินทางไปร่วมโปรโมทภาพยนตร์เรื่องช็อคโกแลต ซึ่งเข้าฉายอย่างเป็น ทางการในประเทศญี่ปุ่นในเดือนพ.ค.2009ด้วยการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกือบ30สำนักพิมพ์ โชว์แอ็คชั่นในรายการของสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นอย่างฟูจิทีวีล่าสุด และในงานจัดฉายภาพยนตร์รอบสื่อมวลชน ณ วินาทีนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าจากความสำเร็จที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ชื่อของแอ็คชั่นหญิงหน้าหวาน “จีจ้า ญาณิน” ไม่เพียงเป็นที่รู้จัก แต่ยังได้รับการชื่นชมยกย่องให้กลายเป็นขวัญใจของเหล่าแฟนๆภาพยนตร์จากหลายๆพื้นที่ในโลก ไม่ว่าจะเป็นการที่นิตยสารทีวีพูลมอบรางวัล TOP AWARD ซึ่งตัดสินมาจากการรวบรวมผลโหวตจากมหาชนในสาขานักแสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมให้กับจีจ้า รวมทั้งตัวภาพยนตร์เรื่องช็อคโกแลตได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงถึง 3รางวัล รวมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยม,ผู้กำกับยอดเยี่ยมและดารานำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อจีจ้า ญาณินได้รับเกียรติให้เป็นนักแสดงชาวไทยเพียงคนเดียวที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ASIAN FILM AWARDS ครั้งที่3ในสาขา นักแสดงดาวรุ่งยอดเยี่ยม(BEST NEWCOMER) (ซึ่งปีที่แล้วหนุ่มฮอตมาริโอ้ เมาเร่อถูกเสนอชื่อเข้าชิงในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่องรักแห่งสยาม) ซึ่งถูกจัดขึ้นโดย Hong Kong International Film Festival Society ในเทศกาล The 33rd Hong Kong International Film Festival ที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 22 มี.ค.-13 เม.ย. ที่ผ่านมา ณ ประเทศฮ่องกง พลิกโฉมหน้าแอ็คชั่นฮีโร่หญิง เจ้าของสโลแกน “เล่นจริง เจ็บจริง” สู่ย่างก้าวที่ 2 ของ“จีจ้า ญาณิน” กับโจทย์ใหม่ที่ทั้ง “สวิงกว่าเดิม”และ“ท้าทายยิ่งกว่า” เมื่อ “แอ็คชั่นมันส์สุดขั้ว” ถูกหล่อหลอมด้วย “ความโรแมนติคสุดเข้มข้น” หลังจากความสำเร็จที่เกิดขึ้นทั้งในและต่างประเทศของ “ช็อคโกแลต” ไม่น่าแปลกใจที่หลายคนต่างให้ความสนใจและจับตามองถึงความเคลื่อนไหว และเฝ้ารอคอยการมาถึงของย่างก้าวที่2 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลกภาพยนตร์ของแอ็คชั่นฮีโร่หญิงอย่าง“จีจ้า ญาณิน” ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบของแอ็คชั่นดีไซน์ใหม่ พล็อตเรื่องราวของภาพยนตร์ รายละเอียดงานสร้าง ตลอดจนบทบาท คาแรคเตอร์ รูปลักษณ์ และพัฒนาการทางด้านการแสดงที่เปลี่ยนไป สู่วิถีแห่งปรากฎการณ์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นในโลกของภาพยนตร์ ภายใต้การผสมผสานความมันส์แบบเต็มพิกัดของแอ็คชั่นรูปแบบใหม่ที่ยังไม่เคยปรากฎมาก่อนหลอมรวม เข้ากับเรื่องราวความโรแมนติคสุดเข้มข้น แต่ยังคงตอกย้ำความเป็นแอ็คชั่นไอคอนหญิง เล่นจริง เจ็บจริง ที่คอหนังแอ็คชั่นทั้งโลกต้องจับตา โดยกลั่นจากคอนเซ็ปท์ ไอเดีย และมุมมองของผู้กำกับ ราเชนทร์ ลิ้มตระกูล ที่ต้องการนำเสนออีกทิศทางของภาพยนตร์แอ็คชั่นไทยระดับโลกโดยหยิบเอาแง่มุมเรื่องราวของความรักมาเป็นหัวใจสำคัญภายใต้ไอเดียที่ว่า “ในทุกความรักล้วนต้องมีการต่อสู้ และในทุกการต่อสู้ต่างมีความรักเป็นแรงผลักดัน” “ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นหนังแอ็คชั่นของไทยเอง หรือต่างประเทศ หนังของเฉินหลง หรือบรูซ ลี เราแทบไม่เคยเห็นหนังแอ็คชั่นแบบMARTIAL ART ที่เน้นเรื่องศิลปะการต่อสู้เรื่องไหนที่หยิบเอาประเด็นเรื่องความรักมานำเสนอ พูดได้ว่าไม่มีหนังแอ็คชั่นศิลปะการต่อสู้เรื่องไหนเลยที่พูดเรื่องความรัก โดยเฉพาะประเด็นความรักระหว่างหนุ่มสาว ก็ปรึกษาพี่ปรัช พี่พันนาว่าความตั้งใจของผมคือต้องการสร้างแนวทางของหนังแอ็คชั่นในรูปแบบใหม่ขึ้นมา สิ่งที่เราต้องการนำเสนอในจีจ้าดื้อสวยดุคืออยากเห็นเรื่องราวความรักที่เข้มข้นผสมผสานในรูปแบบของหนังแอ็คชั่นในแบบ MARTIAL ART หรือโชว์ศิลปะการต่อสู้จริงๆ และเมื่อนึกถึงว่านี่คือหนังแอ็คชั่นที่มีจีจ้าเป็นนักแสดงนำด้วยแล้ว ไม่มีข้อกังขาอื่นใดเลย เพราะพูดได้ว่าจีจ้ามีคุณสมบัติเพียบพร้อมเพียงพอที่จะเล่นหนังรักได้อย่างสบาย ไม่ว่าจะเป็นบุคลิก รูปร่าง หน้าตา หรือแม้แต่วัยของจ้าเองที่จะพูดเรื่องความรัก โดยมีเป้าหมายคือเพื่อที่จะคงเสน่ห์ในความเป็นหนังศิลปะการต่อสู้ MARTIAL ARTที่กระชับ ฉับไว กระฉับกระเฉง เล่นจริง เจ็บจริงในแบบจีจ้า แต่ในขณะเดียวกันก็สอดแทรกเสน่ห์ในความเป็นหนังแบบดราม่าโรแมนติคที่มีจังหวะของอารมณ์และการเล่าเรื่องที่พูดได้ว่าแตกต่างจากหนัง MARTIAL ARTโดยสิ้นเชิง และไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการหาเหตุผลและสร้างแรงจูงใจให้ตัวละครลุกขึ้นมาต่อสู้ ในภาพยนตร์แอ็คชั่นที่บอกเล่าเรื่องราวในโลกสมัยใหม่ที่มีตัวละครเอกเป็นเด็กผู้หญิงวัยรุ่น ในขณะเดียวกันก็ต้องกำหนดทิศทางและสร้างเรื่องราวให้คนดูได้สัมผัส และเห็นถึงพัฒนาการความรู้สึกของตัวละครที่ต้องเติบโตไปโดยมีความรักเป็นแรงผลักดันและต้องกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับพาร์ทการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นในฐานะภาพยนตร์แอ็คชั่นด้วย โดยใช้เวลาเขียนบทอยู่ประมาณปีกว่าๆ ความยากอยู่ที่ว่าเราจะจับเสน่ห์ของทั้ง2ส่วนมาประกอบกันอย่างไรให้กลมกลืน ให้เสน่ห์ความเป็นหนังศิลปะการต่อสู้ที่มันกระฉับกระเฉงยังคงอยู่ เราไม่ได้ไปเปลี่ยนให้มันช้าลง เพื่อจะผสมกับดราม่าโรแมนติคได้ แต่เราต้องเปลี่ยนดราม่าโรแมนติคให้กระชับฉับไว เข้าได้กับหนังแอ็คชั่น” จึงเป็นที่มาของการปรับลุคแปลงโฉมใหม่หมดตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้าของแอ็คชั่นไอคอนหญิงอย่าง “จีจ้า ญาณิน” ทั้งในส่วนของเสื้อผ้า หน้าตา ทรงผม ตลอดจนบุคลิกคาแรคเตอร์ที่โตขึ้น มีความเป็นสาวขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของพัฒนาการทางด้านการแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกของตัวละครซึ่งถูกนำเสนอผ่านแง่มุมความรักของตัวละคร “ดื้อ” เด็กสาวที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ขี้โมโห เอาแต่ใจตัวเอง โหยหามิตรภาพ ตลอดชีวิตไม่เคยสัมผัสและรู้ซึ้งความหมายของคำว่า “รัก”ที่แท้จริง ตามความตั้งใจของผกก.ราเชนทร์ ตัวละครที่ต้องค้นหาตัวเองไปพร้อมๆกับเรียนรู้ที่จะต่อสู้เพื่อความรัก จนเกิดเป็นแรงบันดาลใจที่จะลุกขึ้นมาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้โดยมีความรักเป็นแรงผลักดัน โดยหยิบจับเอาไลฟ์สไตล์ และวิถีของความเป็นวัยรุ่นในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมการแต่งตัว แฟชั่น ดนตรี มาเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างสีสันและนำเสนอในภาพยนตร์ “เมื่อเทียบกับช็อคโกแลตแล้ว คาแรคเตอร์ของ ดื้อ ใน “จีจ้าดื้อสวยดุ” จะใกล้เคียงอายุจริงของตัวเองมากๆ ดื้อจะเป็นสาวซ่า สาวพังค์ สาวร็อค ที่มีความเป็นตัวเองสูง เป็นวัยรุ่นที่กำลังค้นหาตัวเอง โหยหาเพื่อน อยากได้มิตรภาพ ต้องการความรัก ความเข้าใจจากคนรอบข้าง แต่ดื้อไม่เคยสมหวังในความรัก ไม่เคยรู้จักรักแท้ จนกระทั่งเขาได้เจอสนิม ผู้ชายคนหนึ่งที่สอนให้ดื้อได้รู้จักโลก รู้จักมิตรภาพ เพื่อนแท้ เป็นคนสอนให้รู้จักการต่อสู้ และเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ดื้อเข้าใจความหมายของคำว่า “รักแท้” และลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อความรัก เป็นตัวละครที่มีเรื่องราวของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องค่อนข้างเยอะ แต่ในขณะเดียวกันในพาร์ทของแอ็คชั่นก็ไม่ได้ลดลง เป็นแอ็คชั่นที่มีเรื่องราวของความรักโรแมนติคเข้ามามีส่วนสำคัญกับตัวละคร ไม่เพียงแค่ตัวดื้อที่จ้าเล่นเท่านั้น แต่พูดได้ว่าทุกตัวละครในภาพยนตร์จะมีแง่มุมหรือปมที่เกี่ยวกับความรักร้อยเรียงแต่ละตัวละครเข้ามาเกี่ยวข้องกันนำไปสู่พาร์ทที่เป็นแอ็คชั่นการต่อสู้ ครั้งนี้จ้าไม่ได้บู๊หรือลุยคนเดียวแล้ว เพราะจ้ามีพระเอกของจ้าซึ่งก็คือคาซูที่รับบทเป็นสนิม เป็นตัวละครที่มีส่วนสำคัญให้ดื้อเข้าใจความรักและเรียนรู้เรื่องการต่อสู้ รวมทั้งยังมีกลุ่มเพื่อนที่ร่วมเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆร่วมกัน” และนี่เป็นที่มาของการเข้าคอร์สเวิร์คช็อพทางด้านแอ็คติ้งการแสดงเพิ่มเติมเป็นเวลาถึง4เดือนก่อนที่จะเปิดกล้องถ่ายทำ “จีจ้าดื้อสวยดุ” ของแอ็คชั่นไอคอนหญิงอย่างจีจ้า พร้อมกับแชมป์ MARTIAL ART TRICKZสัญชาติฝรั่งเศสอย่าง KAZU (คาซู แพททริค แทงค์) พระเอกคนแรกในชีวิตของจีจ้าที่ยอม ทิ้งสัญญา 3 ปีที่จะได้ร่วมเป็น 1 ใน CIRQUE DU SOLEIL โชว์ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุด และยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งคัดเฉพาะคนที่เก่งที่สุดของแต่ละประเทศมาร่วมงาน เพื่อเลือกที่จะเดินทางมาร่วมงานกับปรัชญา ปิ่นแก้วและทีมงานที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์แอ็คชั่นระดับโลกของไทยอย่างองค์บาก ตามคำชวนของปรัชญา ที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี 2005 หลังจากที่ใช้เวลากว่า4ปีในการเรียนรู้ ฝึกฝน ความสามารถและศิลปะการต่อสู้ และศาสตร์ในการแสดงภาพยนตร์แอ็คชั่นร่วมกับทีมมวยไทยสตันท์ของไทยที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์แอ็คชั่นระดับโลกอย่าง องค์บาก,ต้มยำกุ้ง,ช็อคโกแลต,เกิดมาลุย ฯลฯ ในที่สุดความสามารถทางด้านศิลปะการต่อสู้ที่เยี่ยมยอดอันหลากหลายไม่ว่าจะเป็น MARTIAL ART TRICKZ ที่ผสมผสานระหว่างยิมนาสติก,เทควันโด้,คาโปเอล่า,FREE RUNNING,บีบอย ฯลฯ ของพระเอกแอ็คชั่นสัญชาติฝรั่งเศสอย่างคาซูก็เข้าตาผู้กำกับ ราเชนทร์ ถูกเลือกให้มารับบท สนิม ชายหนุ่มนัยน์ตาเศร้าที่ทำให้ดื้อเข้าใจความหมายของ “รักแท้” และเป็นผู้ที่ถ่ายทอด “เมรัยยุทธ”ศาสตร์แห่งการต่อสู้ที่ทรงอานุภาพ และยากในการคาดเดาให้กับ “ดื้อ” “โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าตัวละครตัวนี้เป็นตัวละครที่เท่ห์มาก เขามีความมั่นใจในตัวเองสูง เป็นตัวละครที่มีบางอย่างอยู่ในจิตใจที่เกี่ยวกับความรัก โดยเฉพาะเหตุผลที่ทำให้เขาต้องต่อสู้ มีเป้าหมาย และแรงผลักดันสำคัญ ความน่าสนใจของตัวละครตัวนี้ไม่ได้นำเสนอแต่พาร์ทของความเป็นแอ็คชั่น-แอ็คชั่น อย่างเดียว แต่ยังมีแง่มุมความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ของตัวละครในพาร์ทของความเป็นโรแมนติค-ดราม่าด้วย นั่นคือเป็นตัวละครที่ต่อสู้ด้วยใจ และต่อสู้เพื่อความรัก ” กำเนิดใหม่แห่งสายพันธุ์การต่อสู้ที่ไร้ขีดจำกัด เต้นไป-สู้ไป TRICKZ +B-BOY + เมรัยยุทธ “ดื้อสวยดุ” สู่วิถีใหม่ของศิลปะการต่อสู้แห่งปรากฎการณ์ ภายใต้การผนึกกำลังครั้งสำคัญจากการออกแบบคิดค้นและกำกับฉากแอ็คชั่นการต่อสู้โดย วีระพล ภูมาตย์ฝน และควบคุมทุกฉากการต่อสู้โดย พันนา ฤทธิไกร ปรมาจารย์แอ็คชั่นมือ1 ผู้ปั้นโทนี่ จา ผ่านมุมมองของราเชนทร์ ลิ้มตระกูล สู่การถือกำเนิดใหม่แห่งสายพันธุ์การต่อสู้ที่ไร้ขีดจำกัด ทำให้แอ็คชั่นดี ไซน์ของฉากแอ็คชั่นการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นใน “จีจ้าดื้อสวยดุ” ไม่เพียงหลากหลาย แต่เต็มไปด้วยแปลกใหม่ ที่แหวก และแตกต่างจากขนบและรูปแบบของคิวบู๊แอ็คชั่นที่เคยปรากฎขึ้นในภาพยนตร์แอ็คชั่นทุกเรื่องก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง อย่างในช็อคโกแลต เราอาจจะเห็นการต่อสู้ระหว่างจีจ้ากับผู้ร้ายในลักษณะ1ต่อ1 หรือกับคู่ต่อสู้ที่มีมากกว่า1คน แต่ใน “จีจ้าดื้อสวยดุ” เป็นครั้งแรกที่รูปแบบของแอ็คชั่นดีไซน์ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการต่อสู้ในลักษณะคู่(DUO) โดยเป็นการผสมผสานคิวแอ็คชั่นการต่อสู้ที่สอดผสานกันอย่างลงตัวระหว่าง จีจ้า และคาซู ที่นำเอาท่วงท่าของการเต้นบีบอย,ลีลาของการเต้นรำคู่แบบซัลซ่าเข้ากับท่วงท่าในรูปแบบของไอซ์สเก็ตมาผสมผสานกับการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วฉับไวในแบบฉบับของ FREE RUNNING รวมตัวเข้ากับศิลปะการต่อสู้ในขั้นที่เหนือกว่าอย่าง MARTIAL ART TRICKZและยิมนาสติกเพื่อต่อสู้กับผู้ร้าย ภายใต้คอนเซ็ปท์ “เต้นไป-สู้ไป” ไปจนถึงการต่อสู้แบบยกทีมของเหล่านักสู้บีบอยกับกลุ่มผู้ร้ายทั้งในแบบ 2 ต่อ2 และ 3ต่อ3 รวมไปถึงการปะทะกันระหว่างศิลปะการต่อสู้ที่แตกต่างกันในฉากเดียวกัน อาทิ MARTIAL ART TRICKZ กับ ยูโด,ศิลปะการต่อสู้แบบบีบอยปะทะหมัดเมา,ไปจนถึงการต่อสู้กันระหว่างหมัดเมาแบบจีนและเมรัยยุทธซึ่งเป็นมวยเมาแบบไทยที่จีจ้าต้องนำเอาศิลปะการออกอาวุธเข่าศอกแบบไทยนำมาผสมผสานในการออกลีลาที่เต็มไปด้วยความหนักหน่วงรุนแรงมากกว่า โดยอาศัยข้อได้เปรียบทางสรีระร่างกายในความเป็นผู้หญิงของจีจ้าที่มีความยืดหยุ่นสามารถอ่อนตัวพลิกหมุนพริ้วไหวไปตามความยืดหยุ่นของท่วงท่าแอ็คชั่นต่างๆ และที่สำคัญยังไม่เคยถูกถ่ายทอดโดยแอ็คชั่นไอคอนหญิงคนไหนมาก่อน นำไปสู่รูปแบบใหม่ของศิลปะการต่อสู้ในทิศทางใหม่ๆที่ถูกพัฒนาคิดค้นขึ้นมาใน “จีจ้าดื้อสวยดุ”โดยเฉพาะ ตามความตั้งใจของผกก.ที่สร้างชื่อจากภาพยนตร์แอ็คชั่นโรแมนติคที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดจาก “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” อย่างราเชนทร์ ลิ้มตระกูล “ในโปรเจ็คต์ภาพยนตร์เรื่องที่2ของจีจ้า ความตั้งใจของเราคือ การสร้างMARTIAL ARTที่เกิดจากการผสมผสานกันจากศิลปะอันหลากหลายที่ไม่น่าจะอยู่ด้วยกันให้มารวมอยู่ด้วยกันได้ทั้งพี่พันนา(ผู้ควบคุมฉากแอ็คชั่น) ทั้งท็อป(วีระพล ภูมาตย์ฝนผู้ออกแบบและกำกับฉากแอ็คชั่น)ทั้งพี่ปรัช(ปรัชญา ปิ่นแก้วผู้ควบคุมงานสร้าง) มานั่งประชุมคุยกัน ตั้งโจทย์เอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสิ่งที่เรากำลังจะทำคือ MARTIAL ART ในรูปแบบใหม่ที่ยังไม่เคยเห็นมาก่อนจากหนังเรื่องไหน เรื่องนี้เรามีการพัฒนาการเล่นแอ็คชั่นแบบยากขึ้นไปในอีกระดับหนึ่ง ไม่ใช่มีแค่คิวแอ็คชั่นที่จีจ้าเล่นคนเดียว แต่จีจ้ายังต้องเล่น MARTIAL ART คู่กันกับ พระเอกคือคาซู เรียกว่าต้องมีการสอดผสานลีลากันเพื่อที่จะต้องต่อสู้กับฝั่งตรงข้าม โดยการนำเอาเรื่องของการเต้นรำเข้ามาพัฒนา ศิลปะการต่อสู้ซึ่งหลายคนที่ได้ดูจะรู้สึกว่ามันสวยงาม แล้วมันพริ้วไหว ในขณะที่พอถึงจังหวะของการกระทำแอ็คชั่น ปึ้ง ไปที่ก้านคอของคนที่ถูกเตะ ก็จะรู้สึกได้ถึงความหนักหน่วงแบบเล่นจริงเจ็บจริงอยู่ ซึ่งสิ่งที่ท็อปสร้างสรรค์ขึ้นมามหัศจรรย์มาก ที่ผมพูดได้เลยว่ามันเป็นครั้งแรกที่มีการนำเอาศิลปะการต่อสู้และการเต้นรำมาผสมผสานกันเป็นแอ็คชั่นใหม่อย่างเต็มรูปแบบ ลองนึกภาพว่าทุกท่วงท่าจังหวะการเคลื่อนไหวในการออกสเต็ปการเต้นบีบอย ,เบรกแดนซ์ ฯลฯ ถูกนำมาผสมผสานกันกลายเป็นท่าแอ็คชั่นที่เต็มไปด้วยความหนักหน่วงรุนแรง หรือการนำเอาMARTIAL ART TRICKZการแสดงลีลาการต่อสู้ที่เป็นลูกเล่นในขั้นพิเศษที่เหนือกว่าปกติ ผสมผสานกับพื้นฐานของการตีลังกา ,ยิมนาสติก รวมไปถึงอานุภาพอันหนักหน่วงของเข่าศอกที่เป็นพื้นฐานของมวยไทยซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกพัฒนาหล่อหลอมขึ้นมาเป็นรูปแบบของศิลปะการต่อสู้ที่ผสมผสานถ่ายทอดผ่านตัวจีจ้า คาซู นักบู๊MARTIAL ART TRICKZ สัญชาติฝรั่งเศส ,หนุ่ย แสนแดง แชมป์อันดับ3 การแข่งขันการเต้นบีบอยระดับประเทศแบทเทิลออฟเดอะเยียร์5ปีซ้อน และ เฮส สมพงษ์ เลิศวิมลเกษม แชมป์บีบอยภาคเหนือ3สมัยและที่5ของประเทศ4สมัย , โอมาน บุญประเสริฐ ศาลางาม คร่ำหวอดในการเต้นบีบอยนับ10ปี อาจารย์สอนเต้นและกรรมการการแข่งขันระดับประเทศ 3 หนุ่มบีบอย ระดับแนวหน้าของเมืองไทย ,รุ้งตะวัน จินดาซิงห์แชมป์เพาะกายหญิงเอเชียแปซิฟิกที่มีความสามารถทางด้านยูโด แล้วแต่ละรูปแบบของศิลปะการต่อสู้ที่เกิดจากการผสมผสานต้องมาต่อสู้กัน จะเป็นอะไรที่แปลกใหม่ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราจะได้เห็นฉากแอ็คชั่นที่หลากหลาย และเป็นฉากแอ็คชั่นที่เรียกว่าเป็นแบบ MIX เป็นแบบลูกผสมที่งัดเอาความสามารถที่แต่ละคนถนัดงัดออกมาใช้อย่างเต็มที่” สู่การปฏิวัติโฉมหน้าของการผสมผสานรูปแบบของศิลปะการต่อสู้ในแนวทางใหม่ให้ปรากฎขึ้นในโลกภาพยนตร์ โดยงานนี้ทั้งพระเอกอย่างคาซูและนางเอกนักบู๊อย่างจีจ้า จึงถูกส่งตัวไปฝึกซ้อมและเรียนรู้การเต้นบีบอยล่วงหน้าก่อนการถ่ายทำเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับแอ็คชั่นรูปแบบใหม่ที่จะเกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องที่ 2นี้ “พอรู้แล้วว่าตัวหนังของเราอยู่ภายใต้คอนเซ็ปท์ของการเต้นและต่อสู้ด้วย พี่เชนทร์ก็เลยส่งให้จ้าและคาซูไปปูพื้นฐานด้วยการเรียนเต้นบีบอยก่อนประมาณเดือนสองเดือน เพื่อให้รู้พื้นฐานของท่าให้ถูกต้อง ของบีบอยว่าเขาเป็นอย่างไร เขาเต้นอย่างไร ท่าทางการขยับบอดี้เป็นอย่างไร ครูที่มาสอนมีชื่อว่าครูชิน แล้วครูชินเขาก็แยกให้ดูว่าอันนี้คืออะไร อันไหนคือครัมปิ้ง อันไหนคือป๊อปปิ๊น อันไหนคือบีบอย อันไหนคือเบรกแดนซ์ เอาวิดีโอมาเปิดให้ดูเลยว่าอะไรคืออะไร แล้วที่เหลือก็เป็นการซ้อมอย่างหนัก พอมาถึงเรื่องของแอ็คชั่น ก็คือจะมีการจับทาง เหมือนกันว่า พอเริ่มเต้นท่านี้ได้ เต้นเบสิกนี้ได้ ลองเอาท่าหมุนอันนี้มาผสมกับท่านี้ดูดีไหม ท่านั้นมาผสมกับท่านี้ไหม ลองคิดดีไซน์เลย อย่างเช่น สมมติถ้าเราเตะปุ๊บ เราลงไปแล้วหมุนท่าซิกส์สเต็ปหรือหมุนทรีสเต็ปหรือไม่ว่าจะเป็นจังหวะใดๆของบีบอยก็ตาม ลองเอามามิกซ์ๆกันดูเหมือนกับว่าถ้าเราผสมผสานกันดีๆ ทุกจังหวะของการเต้นมาผสมผสานกับการต่อสู้มันจะกลายมาเป็นท่าของการต่อสู้ได้หลายๆท่าเลยค่ะ อย่างบางท่าเราก็จะมีลักษณะของคล้ายๆการเต้นลีลาศ หรือเหมือนเป็นการเล่นไอซ์สเก็ตน้ำแข็งที่จ้าต้องเล่นคู่กับคาซู ให้กลายมาเป็นท่าต่อสู้ที่เน้นความรุนแรงและความสวยงาม แต่มีประสิทธิภาพ ที่ใช้ได้จริง ต้องเป็นท่าต่อสู้ได้จริง เราคิดกันเยะอถึงขั้นที่ว่า แม้แต่กระทั่งพี่ท็อปที่เป็นผกก.คิวบู๊ ดูวีซีดีกายกรรม และก็จับท่า ดึงท่าออกมาว่าท่านี้เราน่าจะเล่นได้นะ โดยพี่ท็อปผกก.คิวบู๊ต้องทำออกมา ต้องดีไซน์ออกมาให้ได้ประสิทธิภาพที่สุด และดีที่สุด เพื่อที่นักแสดงจะต้องซ้อมและทำออกมาให้ได้ดีที่สุด ซึ่งในเรื่องนี้พูดได้ว่าตัวพี่ท็อปเองทำงานหนักมาก” แม้แต่พันนา ฤทธิไกร ผู้ควบคุมฉากแอ็คชั่น และผู้ควบคุมงานสร้างปรมาจารย์แอ็คชั่นมือ1 ของเมืองไทยยังอดการันตีไม่ได้ว่า นี่คือความแปลกใหม่ ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่ท่วงท่าตามจังหวะการเต้นบีบอย ถูกพัฒนามาเป็นท่าการต่อสู้ในแบบฉบับของ MARTIAL ART จริงๆ “ไม่เคยมีหนังแอ็คชั่นเรื่องใดในโลกที่นำเสนอ B-BOY ในรูปแบบMARTIAL ART มาก่อน สิ่งที่คอหนังแอ็คชั่นจะได้สัมผัสในดื้อสวยดุ ทุกฉากทุกซีนแอ็คชั่นคือความใหม่ เหมือนกับครั้งแรกที่เราเคยได้ดูโทนี่ จาแสดงในองค์บาก ลองหลับตานึกภาพทุกจังหวะของท่วงท่าในการออกสเต็ปจากการเต้นบีบอยถูกพัฒนากลายมาเป็นท่วงท่าของการต่อสู้ในแบบจริงจัง หนักแน่น ดุดัน ในแบบMARTIAL ART รวมทั้งการพัฒนารูปแบบของเมรัยยุทธหรือมวยเมาแบบไทยในแบบฉบับที่ยังไม่เคยเห็นมาก่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกถ่ายทอดออกมาโดยนักแสดงแอ็คชั่นหญิงอย่างจีจ้าที่มีความหนักแน่นในการออกอาวุธที่คมมาก เล่นแอ็คชั่นได้อย่างชัดเจนมากๆ ขณะเดียวกันเวลาเคลื่อนไหวก็จะพริ้ว สวยงาม เพราะสรีระร่างกายของผู้หญิงจะมีความยืดหยุ่นมากกว่า แต่เวลาเล่นแอ็คชั่นจะดุ หนักหน่วงมากๆ” จากใต้ดิน สู่ผืนน้ำ ทะยานเหนือพสุธา ทวีคูณความระห่ำของฉากแอ็คชั่นการต่อสู้แบบนันสต็อปที่ห้ามกระพริบตา กับสารพัดอุปสรรค ความ โหด หิน กว่าจะเป็นแอ็คชั่นสุดมันส์ของ “จีจ้าดื้อสวยดุ” นอกเหนือจากความหลากหลายของศิลปะการต่อสู้รูปแบบใหม่ที่จะปรากฎใน “จีจ้าดื้อสวยดุ”ภาพยนตร์แอ็คชั่นสุดมันส์ที่คนทั้งโลกรอคอยแล้ว สิ่งที่ผกก.ราเชนทร์ พร้อมด้วยปรมาจารย์แอ็คชั่นมือ1พันนา ฤทธิไกร และ วีระพล ภูมาตย์ฝน ผู้กำกับและออกแบบฉากแอ็คชั่น ได้ผนึกกำลังครั้งสำคัญร่วมกับบรรดาเหล่านักแสดงนำจากภาพยนตร์ ร่วมกันยกระดับดีกรีความมันส์แบบสุดขั้วและสร้างมาตรฐานความยิ่งใหญ่ในแนวทางของภาพยนตร์แอ็คชั่นไทยระดับโลกให้เป็นที่สะใจแก่บรรดาคอหนังแอ็คชั่นให้ทวีคูณยิ่งๆขึ้นไปอีก ตั้งแต่การการดีไซน์แนวคิดและรูปแบบของฉากแอ็คชั่นที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ ทั้งท้าทายและเสี่ยงตายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ภายใต้โลเกชั่นที่เต็มไปด้วย อุปสรรค ทั้งโหดและหินยี่งกว่า โดยเหล่านักแสดงในภาพยนตร์ทุกคนล้วนต่างต้องเผชิญกับบททดสอบที่สุดท้าทาย ที่รับประกันว่าไม่มีฉากไหนหรือซีนแอ็คชั่นซีนใดที่ได้มาโดยง่ายดาย ล้วนแล้วต่างใช้หยาดเหงื่อความทุ่มเทของเหล่านักแสดงแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในย่างก้าวที่2ของเจ้าของสโลแกน “เล่นจริง เจ็บจริง” ของแอ็คชั่นหญิงจีจ้าญาณิน ที่ถ้าไม่แน่ใจจริง ไม่กลับมา แต่การกลับมาครั้งนี้สวิงยิ่งกว่า เพราะแทบทุกฉากทุกซีน เหล่าแฟนๆของจีจ้าจะได้สัมผัสกับ ความมันส์ของแอ็คชั่นสุดเข้มข้นตั้งแต่ฉากแรกจนถึงฉากสุดท้ายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นฉากการปะทะกันระหว่างสเต็ปของบีบอยบนผืนทรายริมทะเลที่ซัดกันน่วมทั้งบนบก และในน้ำท่ามกลางอุณหภู มิเดือดระอุเกือบ40องศาของจีจ้าและโอมานบีบอยระดับแชมป์ที่เต็มไปด้วยความดุดัน,ฉากแอ็คชั่นสนุกๆกับลีลาเต้นไป-สู้ไปของจีจ้าใต้ท้องเรือที่เต็มไปด้วยฝุ่นและสนิมโดยแทบปราศจากอากาศหายใจ จนต้องมีอุปกรณ์ออกซิเจนช่วยหายใจสำหรับนักแสดงตลอดการถ่ายทำ,การต่อสู้แบบแบทเทิล 3 ต่อ3ของเหล่านักสู้B-BOY MARTIAL ART ในอุโมงค์ถ้ำใต้ดินที่มีพื้นที่จำกัดแบบสุดขั้ว (ซึ่งโดยตามหลักแล้วรูปแบบและท่วงท่าของB-BOY MARTIAL ART จะต้องออกสเต็ปในบริเวณพื้นที่กว้าง),การเผชิญหน้าระหว่างMARTIAL ART TRICKZ ที่ผสมผสานเข้ากับFREE RUNNING และสเต็ปของBREAKDANCING กับ เหล่านักสู้ที่มาพร้อมกับPOWER SKIP (ขาจิงโจ้)ที่ช่วยในการจัมพ์ตัวให้สูงเหนือระดับพร้อมใบมีดที่คมกริบท่ามกลางไอระอุที่แสนอบอ้าวในสวนสนุกร้าง, การต่อสู้ในแบบดูโอ2ต่อ1บนสะพานเชือกเก่า ที่จีจ้าและคาซูจะต้องผสมผสานท่วงท่าของกายกรรม การต่อตัว และคิวบู๊แอ็คชั่นแบบโลดโผน บนความสูงกว่า 15 เมตร โดยมีพื้นที่ความกว้างของแผ่นไม้บนสะพานในการทรงตัวเพียงฝ่ามือ,การปะทะกันระหว่างหมัดเมาจีนจากฮองนีปรมาจารย์แชมป์กังฟูชาวเวียดนามฝรั่งเศสและมวยเมาไทย(เมรัยยุทธ)ที่พริ้วไหวอย่างคล่อง ตัวแต่หนักหน่วงด้วยอานุภาพของเข่าศอกที่คม ชัดของจีจ้า , การผสมผสานระหว่างบีบอยและการออกสเต็ปเต้นแบบยกทีม3คนของจีจ้า และ2 หนุ่มแอ็คชั่นบีบอย ต่อกรกับผู้ร้ายยกทีมในอู่แท๊กซี่ร้างที่ทั้งแคบและเต็มไปด้วยอุปกรณ์กีดขวางซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการออกสเต็ปในกาต่อสู้ ฯลฯ โดยทีมนักแสดงจะต้องเข้าเวิร์คช็อพในส่วนของการแสดงแอ็คชั่นในแต่ละฉากตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นโปรเจ็คต์ในสตูดิโอโดยมีระยะเวลาฝึกซ้อมแตกต่างกันไปตามความยากง่ายของคิวแอ็คชั่นที่ได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับเนื้อหาหลักและเรื่องราวของภาพยนตร์ ตามด้วยการที่ผกก.นักแสดงและผกก.ออกแบบฉากแอ็คชั่นจะต้องลงพื้นที่ ณ โลเกชั่นจริงเพื่อทำการเวิร์คช็อพและซักซ้อมคิว เพื่อปรับรูปแบบของการแสดงแอ็คชั่นให้ออกมาลงตัวที่สุดและเข้ากับโลเกชั่นมากที่สุด ก่อนที่จะถ่ายทำจริงในแต่ละโลเกชั่น ถึงแม้ว่าบางฉากอาจจะปรากฎบนจอภาพยนตร์เพียงแค่2-3นาที แต่นักแสดงต้องใช้เวลาฝึกซ้อมและเวิร์คช็อพนานถึงครึ่งปีเลยทีเดียว ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อให้อรรถรสและระดับดีกรีความมันส์ของภาพยนตร์แอ็คชั่นไทยระดับโลกภายใต้มาตรฐานของการสร้างงานแอ็คชั่นให้สมกับที่ได้รับการยอมรับจากคนทั้งโลก รวมไปถึงความสมบูรณ์ที่จะเกิดขึ้นในทุกองค์ประกอบของภาพยนตร์ โดยได้เหล่าบุคคลากรระดับหัวกะทิในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยร่วมทุ่มเทพลังกายและใจสร้างสรรค์ผลงานในแต่ละส่วนออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของงานทางด้านภาพที่น่าตื่นตาทั้งในความละเมียดของภาพและความเร้าใจในส่วนของแอ็คชั่นอย่างถึงขีดสุดจากฝีมือของ3ผู้กำกับภาพระดับฝีมืออย่างธีระวัฒน์ รุจินธรรม ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องปาฏิหาริย์รักต่างสายพันธุ์และเป็นผู้กำกับภาพเจ้าของรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำจาก “ซุ้มมือปืน” และรางวัลพระสุรัสวดีจากขุนแผน,14ตุลาสงครามประชาชน)รวมทั้งยังเป็นผู้กำกับภาพภาพยนตร์แอ็คชั่นอย่างโอปปาติกะ,102ปิดกรุงเทพปล้น พร้อมด้วยเฉลิม วงค์พิมพ์ผู้กำกับภาพยนตร์แอ็คชั่นอย่าง7ประจัญบาน1-2 และคนไฟบิน และธนชาติ บุญหล้า ผู้กำกับภาพภาพภาพยนตร์แอ็คชั่นอย่าง คนไฟบิน รวมทั้งสีสันความเร้าใจในส่วนของเพลงประกอบภาพยนตร์ที่มาร่วมเติมเต็มบีทจังหวะของดนตรีทวีความมันส์แบบสุดขั้วของแอ็คชั่นได้อย่างถึงใจ คลุกเคล้าเข้ากับคอนเซ็ปท์ เต้นไป-สู้ไป ของผู้กำกับราเชนทร์ได้อย่างลงตัว โดย3หนุ่มฮิพฮอพสุดฮอตอย่าง BUDDHA BLESS ที่โดดลงมารับผิดชอบในการสร้างสรรค์บีทสนุกๆ แท็คทีมวาดลีลาขยับเสียงร้องได้โดนใจสุดๆในบทเพลง “ยังไหว” ซึ่งเป็นการทำเพลงประกอบภาพยนตร์ครั้งแรกในชีวิตของ3 หนุ่มเขียวเหลืองแดงเพื่อรองรับกับภาพแอ็คชั่นในสไตล์ เล่นจริงเจ็บจริงแล้วรับรองว่าสวิงกว่าเดิมจนคนฟังต้องลุกขึ้นมาขยับท่าออกสเต็ปแอ็คชั่นกันอย่างแน่นนอน บทบาทและคาแรคเตอร์ จีจ้า ญาณิน รับบท ดื้อ เด็กสาววัยรุ่นที่ใช้ชีวิตเพียงลำพัง นิสัยดื้อรั้นสมกับชื่อ มั่นใจในตัวเองสูง ไม่ยอมคน เอาแต่ใจตัวเอง แต่ลึกๆแล้วเป็นคนที่โหยหาความรัก เฝ้ารอคอยใครสักคนที่รักและเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริงมาช่วยเติมเต็มความรักในส่วนที่ขาดหายไป และด้วยเสน่ห์ความพิเศษที่ไม่ได้มีอยู่ในตัวหญิงสาวทุกคน ทำให้ดื้อเป็นที่ต้องการตัวของกลุ่มคนลึกลับ คาซู รับบท สนิม ชายหนุ่มผู้มีความสามารถในการต่อสู้ที่ไม่เหมือนใคร ยึดมั่นในรักแท้ แต่กลับต้องทนทุกข์ทรมานกับบาดแผลแห่งความทรงจำในรักจากอดีตที่คอยกัดกร่อนในใจมาตลอด4ปี เป็นคนที่ช่วยชีวิตดื้อไม่ให้ตกไปเป็นเหยื่อของกลุ่มคนลึกลับ ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ค้นพบเสน่ห์บางอย่างที่มีอยู่ในตัวดื้อ และทำให้ดื้อเข้าใจความหมายของคำว่า “รักอย่างแท้จริง รุ้งตะวัน จินดา ซิงห์ รับบท ลอนดอน มือสังหาร ฝีมือฉกาจ โหด และเลือดเย็น ถึงเป็นผู้หญิงแต่มีความสามารถทางด้านการต่อสู้ลึกล้ำโดยเฉพาะยูโดและมวยปล้ำ แม้แต่สนิมเองที่เป็นคนสอนเมรัยยุทธให้ดื้อก็ยังยากที่จะต่อกร หนุ่ย แสนแดง (Mr.60ROCK) รับบท ขี้หมู กลุ่มเพื่อนซี้ของสนิม นิสัยขี้เล่น เฮฮา ทะเล้น ยียวนกวนอารมณ์ ตัวจี๊ด ประจำแก๊ง เป็นคนเจ้าสำราญ แต่ลึกๆเป็นคนจริงจัง รักน้องชายขี้หมามาก เป็นB-boy martial art ที่หัวถึงพื้นเป็นได้เรื่อง เวลาแท็คทีมบู๊เข้าคู่กับน้องชายทีไร ใครๆก็กระเจิง เฮส สมพงษ์ เลิศวิมลเกษม รับบท ขี้หมา น้องชายของขี้หมู ที่ดูเผินๆซีเรียสและจริงจังกว่าพี่ชาย รวมแก๊งกับขี้หมูและสนิมโดยอาศัยความสามารถในการต่อสู้คอยช่วยเหลือคนอื่นมีบาดแผลจากอดีตเกี่ยวกับความรัก เป็นB-boy martial art ที่ตัวลอยเมื่อไหร รับประกันว่าบู๊แหลก มีลูกบ้าพอๆกับพี่ชาย โอมาน บุญประเสริฐ ศาลางาม รับบท ???? 1ในคู่ปรับ ฝีมือฉกาจของดื้อ นักสู้ร่างยักษ์ที่เต็มไปด้วยพละกำลัง เกรี้ยวกราด ดุดัน มีความสามารถในการใช้เท้าเตะกระหน่ำในสไตล์บีบอย ประวัติ จีจ้า ญาณิน วิสมิตะนันทน์ (Yanin Vismitananda) ญาณิน วิสมิตะนันทน์ หรือจีจ้า เกิด 31 มี.ค. 2527 สาวน้อยขี้โรคในวัยเด็กที่หันมาฝึกเทควันโด้เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงโดยมีคุณแม่เป็นแรงบันดาลใจ หลังจากเรียนเทควันโด้มาได้เพียงแค่ 2 ปี ก็สามารถคว้าสายดำดั้งที่ 1 ได้ในขณะที่มีอายุเพียง13 ปี ตามด้วยสายดำดั้ง 2 และสายดำดั้ง 3 จนกระทั่งอายุ14ปีหันมาเป็นครูสอนเทควันโด้ และได้เข้าร่วมแข่งขันกีฬาเทควันโด้เยาวชนกรุงเทพฯ ขณะเรียนอยู่ชั้นม.ปลาย จนสามารถคว้าเหรียญทองมาได้ในปีพ.ศ.2539 ระหว่างที่กำลังจะเรียนจบชั้นม.6 ได้มีโอกาสเข้าไปแคสติ้งภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่อง “เกิดมาลุย” ที่กำกับโดยพันนา ฤทธิไกร โดยต้องทดสอบความสามารถพื้นฐานทางด้านแอ็คชั่นไม่ว่าจะเป็นการเตะ การกระโดดในรูปแบบและท่าต่างๆ หลังจากนั้นมีโอกาสทำเวิร์คช็อพเดโมแอ็คชั่นการต่อสู้ให้กับทางปรัชญา ปิ่นแก้วและเสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ แห่งสหมงคลฟิล์มฯ จนทางสหมงคลฟิล์มตัดสินใจเปิดไฟเขียวสร้างโปรเจ็คต์ภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่อง “ช็อคโกแลต”ให้ จีจ้า ญาณิน รับทนำโดยเฉพาะ โดยมีพันนา ฤทธิไกรทำหน้าที่บ่มเพาะทักษะและความสามารถทางการต่อสู้ให้กับจีจ้าโดยเฉพาะตลอด4 ปี และใช้เวลาในการถ่ายทำถึง 2ปีเต็ม กระทั่งเมื่อภาพยนตร์เปิดตัวเข้าฉายในเดือนกุมภาพันธ์ 51 ชื่อของจีจ้า ญาณินที่มาพร้อมสโลแกน เล่นจริง เจ็บจริง ก็เป็นที่รู้จักและประสบความสำเร็จไปทั่วทั้งเมืองไทยและต่างประเทศ ล่าสุดกลับมาอีกครั้งด้วยลุคโฉมเปลี่ยนใหม่หมดที่สวยเฉี่ยวเปรี้ยวขึ้นพร้อมผสมผสานรูปแบบการต่อสู้แนวทางใหม่ “เต้นไป-สู้ไป”ใน “จีจ้าดื้อสวยดุ” ประวัติ คาซู แพททริค แทงค์ (Kazu Patrick TANG) MARTIAL ART หนุ่มวัย 29 ปี ชาวเวียดนาม ถือสัญชาติฝรั่งเศส สูง172ซม. น้ำหนัก68กิโลกรัม นักเทควันโด้สายดำที่เคยเป็นแชมป์เทควันโด้ถึง5สมัยซ้อน(ในปี1998) หลงใหลในศิลปะการต่อสู้ และผ่านประสบการณ์การโชว์สตันท์มาแล้วทั่วฝรั่งเศส เคยมีผลงานแสดงแอ็คชั่นโชว์ในเทศกาล Bercy Festival ต่อหน้าผู้ชมกว่า 14,000 คน (ปี1999) แต่ที่โดดเด่นเป็นพิเศษคือมีความสามารถและเชี่ยวชาญในMartial art trickz (ศิลปะการต่อสู้รูปแบบใหม่ที่เกิดจาการผสมสานระหว่างศิลปะการต่อสู้หลากหลายแขนง อาทิ เทควันโด้,คาโปเอล่า,คาราเต้,ที่เน้นความคล่องตัวและการเคลื่อนไหวโดยมีพื้นฐานของยิมนาสติกเป็นองค์ประกอบสำคัญ) เป็นถึงระดับแชมป์เปี้ยน Champion the cup of world WKA (Martial art trickz) และ 1er Grand Prix international de paris of martial art trickz (ปี2002) รวมทั้งเป็นครูสอนเทควันโด้และศิลปะการต่อสู้ Martial art trickz อีกด้วย คาซู เป็น1 ในสมาชิกกลุ่ม MARTIAL ART TRICKZ ที่มีชื่อว่า TRI-X และ C.A.S.C.A.D.E รวมทั้งเป็นครูสอนเทควันโด้และศิลปะการต่อสู้ Martial art trickz อีกด้วย ที่ผ่านมามีผลงานแอ็คชั่นมากมายทั้งในรูปแบบภาพยนตร์,ซีรี่ส์และภาพยนตร์โฆษณา ผลงานทางด้านภาพยนตร์ต่างๆมากมาย อาทิ Unleased —คนหมาเดือดร่วมกับเจ็ทลี , B13 ของ ลุค แบซง , Street Fighter , Entente Cordial, Le Boulet ของผู้กำกับ อแลง เบอร์เรียน ,The Cage โดยนิโคลัส ฟอร์ซี ,ในปี2002 "HK" ภาพยนตร์สั้นของฝรั่งเศส ที่สามารถคว้ารางวัลBest action short movie ภาพยนตร์ซีรี่ส์ อาทิ Lea , secret de famille ผลงานทางด้านโฆษณา อาทิ โตโยต้า วีโก้ ,ไวตามิลค์,ตู้เย็น ไทรตอน มิทซูบิชิ,เคทีซีแบงค์, Perfect Property,เบียร์สิงห์,รถเชฟโรเลต 4x4, โฆษณาทางโทรทัศน์ชุด Sting แพร่ภาพในเวียดนาม ประวัติ โอมาน ,เฮส,หนุ่ย 3 บีบอยระดับแถวหน้าของประเทศที่ล้วนผ่านดีกรี,เวทีการประกวดและการแข่งขันทั้งในประเทศและต่างประเทศมาอย่างโชกโชน ด้วยความสามารถเฉพาะตัวในการเต้นที่โดดเด่น แตกต่างไปตามความถนัดของแต่ละคน ผสมผสานกับบุคลิกที่สอดคล้อง 3 คาแรคเตอร์ตัวละครสำคัญในภาพยนตร์เรื่อง “จีจ้าดื้อสวยดุ” ทำให้ ราเชนทร์ ลิ้มตระกูลตัดสินใจเลือกให้ร่วมสร้างปรากฎการณ์ใหม่ของแอ็คชั่นดีไซน์ในสไตล์ “เต้นไป-สู้ไป” จากซ้าย โอมาน บุญประเสริฐ ศาลางาม คร่ำหวอดในการเต้นบีบอยนับ10ปี อาจารย์สอนเต้นและกรรมการการแข่งขันระดับประเทศ 3 หนุ่มบีบอย ระดับแนวหน้าของเมืองไทย เฮส สมพงษ์ เลิศวิมลเกษม แชมป์บีบอยภาคเหนือ3สมัย ,บีบอยอันดับ5ของประเทศ4สมัย, Champion To be number one 1on1 battle 2008 / Producer of “AC X’MAS Battle of da year 2004-2008” /HauntedHouse Show / Just Dream Show/ Champion 2on2 king of the floor 2006 /Presenter Honda Veitnam 2008/ FloorSkill Asia 2007 at Singapore และ หนุ่ย แสนแดง แชมป์อันดับ3 การแข่งขันการเต้นบีบอยระดับประเทศแบทเทิลออฟเดอะเยียร์5ปีซ้อน หมายเหตุ เครดิตผลงานของโอมานและหนุ่ย ชนะเลิศอันดับ 1 การประกวด RGP 1-2call B.Boy contest ,2003 ชนะเลิศอันดับ1การแข่งขัน Seacon Square b-battle เป็นตัวแทนไปแข่งขัน ณ ประเทศเกาหลี ,2005 ชนะเลิศอันดับ1ในการแข่งขัน LG BATTLE STREE,2005 ชนะเลิศอันดับ 1 และ 2 งาน battle one man standing,2006 รองชนะเลิศอันดับ1 งาน Floor skillz 2006 ณ.ประเทศสิงค์โปร ,2006 ชนะเลิศอันดับ 1 BATTLE OF THE YEAR SOUTH THAILAND ,2006 ชนะเลิศอันดับ 1 การแข่งขัน 2 on 2 King of the floorz ,2006 รองชนะเลิศอันดับ 1 การแข่งขัน Under ground battle,2006 ชนะเลิศอันดับ 1 การแข่งขัน Freestyle session Thailand 2006 ,2008 ชนะเลิศอันดับ 1 BBoy new style battle ฯลฯ ประวัติรุ้งตะวัน จินดาซิงห์ คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงกีฬาในฐานะนักยูโดทีมชาติมานานกว่า 14ปี สร้างชื่อเสียงให้ประเทศด้วยการเข้าร่วมแข่งขันทั้งในระดับซีเกมส์ และเอเชี่ยนเกมส์ก่อนที่จะถึงจุดอิ่มตัว ผันตัวมาเป็นโค้ชยูโดนาน3ปี และเข้าสู่แวดวงเพาะกายกว่า5ปี โดยเริ่มจากแข่งขันเพาะกายในระดับประเทศ ต่อมาเข้าร่วมแข่งขันในระดับเอเชียติด1ใน3 โดยได้ที่2 กีฬาประเภทเพาะกายหญิง หลังจากนั้นก็เข้าร่วมแข่งขันในระดับนานาชาติ มาโดยตลอด และสร้างผลงานไต่อันดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเมื่อ 2 ปีที่แล้วได้เข้าร่วมแข่งขันเพาะกายชิงแชมป์โลกที่ประเทศสเปน โดยสามารถติดอันดับฟิตเน็ตหญิงระดับโลก ในรุ่นบอดี้ฟิตเน็ต (ผู้หญิงที่มีเชฟสวย) ก่อนที่จะคว้า2 เหรียญทองระดับเอเซีย มิสฟิตเน็ตเอเซียและบอดี้ฟิตเน็ตเอเซีย โดยเป็นผู้หญิงในเอเซียคนแรกที่ติดในบอดี้ฟิตเน็ต นอกจากนี้ได้รับความสนใจจากสื่อต่างประเทศและเมื่อ2ปีที่แล้วได้รับคัดเลือกจากนิตยสารคอสโมแมกาซีนให้เป็น 1 ใน 10 ผู้หญิงแห่งปี(ประเทศไทย) ล่าสุดมีผลงานภาพยนตร์เรื่อง จีจ้าดื้อสวยดุ โดยรับบทเป็น ลอนดอน คู่ปรับที่น่ากลัวที่สุดของจีจ้า ประวัติ ราเชนทร์ ลิ้มตระกูล ผู้กำกับภาพยนตร์ ราเชนทร์ ลิ้มตระกูล เริ่มต้นจากการเป็นผู้กำกับมิวสิควิดีโอ ให้กับศิลปิน อาร์.เอส.โปรโมชั่น ก่อนที่จะประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง“โลกทั้งใบให้นายคนเดียว”ภาพยนตร์โรแมนติค-แอ็คชั่นที่ได้รับการบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ถึงความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการเป็นภาพยนตร์ไทยที่กวาดรายได้สูงสุดประจำปีพ.ศ.2538 กว่า55 ล้านบาท และสามารถคว้า 3 รางวัลสำคัญทางด้านภาพยนตร์จาก2สถาบันที่ทรงเกียรติที่สุดของเมืองไทยอย่างรางวัลพระสุรัสวดีและรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ ในสาขารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม,กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและนักแสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม โดยสามารถกวาดอีก5สาขารางวัลสำคัญจากรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ ต่อมาในปี2542 รับหน้าที่กรรมการผู้จัดการบ.อาวองจก.และรับตำแหน่งผู้อำนวยการสายงานผลิตและการตลาดธุรกิจภาพยนตร์ในเครืออาร์เอส โดยตลอดระยะเวลากว่า 1 ทศวรรษชื่อของราเชนทร์ ลิ้มตระกูล มีส่วนสำคัญในความสำเร็จของภาพยนตร์ไทยมากมายหลายต่อหลายเรื่องในฐานะผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อาทิ มือปืน/โลก/พระ/จัน ,ผีสามบาท ,พันธุ์ร็อกหน้าย่น,สังหรณ์,ซาไกยูไนเต็ด,จอมขมังเวทย์,เดอะเมีย,อหิงสา จิ๊กโก๋มีกรรม,ผีเสื้อสมุทรฯลฯ นอกจากนี้ยังเป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญในความสำเร็จของภาพยนตร์อย่าง “ช็อคโกแลต” และ “องค์บาก2” ในปี2551 “ฝันหวานอายจูบ” เป็นภาพยนตร์สั้นเรื่องแรกในรอบ 10ปี ที่ราเชนทร์หวนกลับมารับหน้าที่ผกก.อีกครั้ง โดยมี “จูบ” ซึ่งนำแสดงโดยมาริโอ้ เมาเร่อเป็น 1ใน4เรื่องราวโรแมนติค ร่วมกับปรัชญา ปิ่นแก้ว,บัณฑิต ทองดี และชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล และในปี2552 ราเชนทร์ ลิ้มตระกูล พร้อมแล้ว ที่จะกลับมาปฏิวัติโฉมหน้าของภาพยนตร์แอ็คชั่นไทยระดับโลกกับ “จีจ้าดื้อสวยดุ” ภาพยนตร์แอ็คชั่นโรแมนติคสุดเข้มข้น ที่ไม่เพียงรับหน้าที่ผู้กำกับภาพยนตร์แบบเต็มๆตัว เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดไอเดียและแนวคิดในการนำเสนอแนวทางใหม่ของภาพยนตร์แอ็คชั่นในอีกมุมมอง โดยหยิบเอาแง่มุมเรื่องราวของความรักมาเป็นหัวใจสำคัญ รวมไปถึงการนำเสนอลุคใหม่และดึงเอาศักยภาพทางด้านการแสดงทั้งในส่วนแอ็คชั่นและแอ็คติ้งของจีจ้า ให้ปรากฎบนแผ่นฟิล์มอย่างเต็มรูปแบบ ประวัติ ท็อป วีระพล ภูมาตย์ฝน ผู้กำกับและออกแบบฉากแอ็คชั่น “ดื้อ สวย ดุ” การศึกษา ปริญญาตรี วิทยาลัยพละศึกษา จ.มหาสารคาม เพื่อนรุ่นเดียวกันกับจา พนมที่ชื่นชอบและหลงใหลในศิลปะการต่อสู้ ฟันดาบ และยิมนาสติค โดยตั้งเป็นชมรมศิลปะการต่อสู้ พร้อมกับฝีกฝนตนเองเกี่ยวกับคิวบู๊แอ็คชั่นด้วยความสนใจ โดยมีบรูซ ลี เฉินหลง เจ็ท ลีและพันนา ฤทธิไกรเป็นแรงบันดาลใจ ด้วยความชื่นชอบและรักในการดูหนังมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ใฝ่ฝันอยากที่จะเป็นสตันท์แมนที่เก่ง และอยากเป็นเหมือนกับพันนา จนปีพ.ศ.2535-36 ได้พบกับตัวจริงของพันนา ฤทธิไกรที่กำลังมีแผนที่จะทำเดโม ภาพยนตร์เรื่ององค์บาก ทำให้ได้มีโอกาสเป็นสตันท์แมนอย่างที่ตั้งใจ และได้ร่วมงานกับพันนา ฤทธิไกร โดยเป็น1ในทีมมวยไทยสตันท์ มีผลงานการแสดงในฐานะสตันท์อย่างองค์บาก1-2,เกิดมาลุย,ต้มยำกุ้ง ฯลฯ มีความถนัดในเรื่องของกระบี่กระบอง,ดาบ ฯลฯ หลังจากทำอาชีพสตันท์มาได้4-5ปี ก็ได้รับมอบหมายจากพันนาในการรับหน้าที่ฝึกสอน จีจ้า ญาณิน วางและกำหนดตารางการฝึกซ้อมจีจ้าให้เป็นแอ็คชั่นไอคอนหญิงที่โลกต้องจับตา ตลอดระยะเวลาเกือบ 4ปี ในการฝึกซ้อมพร้อมกับรับหน้าที่ผู้กำกับและออกแบบฉากแอ็คชั่นในภาพยนตร์เรื่องแรกของจีจ้า “ช็อคโกแลต” และ “จีจ้า ดื้อสวยดุ” นอกจากนี้ยังมีลูกศิษย์คนอื่นที่ได้รับการฝึกฝนจากวีระพล ได้แก่ แคท ส้มตำ,วุฒิ พาวเวอร์คิดส์ ฯลฯ ล่าสุดรับผิดชอบในการดีไซน์แอ็คชั่นในภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องไตร ดูแลกำกับแอ็คชั่นของภาพยนตร์เรื่องตะแบงมาน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ