“บลจ.ยูโอบี”ปรับทัพปี49รับธุรกิจกองทุนโต ตั้งเป้ามูลค่ากองทุนโตอีกกว่า 35% เตรียมคลอด 2 กองทุนใหม่ ก.พ.นี้

ข่าวทั่วไป Friday February 17, 2006 14:05 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--17 ก.พ.--ยูโอบี
“บลจ.ยูโอบี”ปรับทัพรับธุรกิจกองทุนรวม เน้นออกผลิตภัณฑ์ใหม่ตามความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ตั้งเป้าธุรกิจกองทุนปี 49 เติบโตอีก 35.53% มูลค่ากองทุนเป็น 75,113 ล้านบาท เผยปี 48 สินทรัพย์กองทุนสูงถึง 55,424 ล้านบาท เติบโต 43.49% จากปี 2547 ขณะที่อุตสาหกรรมโตเพียง 33.70% พร้อมเตรียมออกกองทุนใหม่อีก 2 กองทุนปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ ทั้งกองทุนเปิดที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มั่นคงในต่างประเทศ“UOBSIG” และกองทุนตราสารหนี้ “UOBS22/1”ที่มีความปลอดภัยและให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ไทย) จำกัด เปิดเผยถึงแผนงานของบริษัทในปี 2549 ว่าจะเน้นการลงทุนของกองทุนหลัก การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และยึดความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก โดยตั้งเป้าการเติบโตในธุรกิจกองทุนรวมในปี 2549 ว่าจะเติบโตอีก 33.97% จากมูลค่ากองทุนรวม 48,530 ล้านบาท ในปี 2548 เพิ่มเป็น 65,013 ล้านบาทในปี 2549 ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่คาดว่าจะเติบโตอีกประมาณ 23% จากยอดมูลค่า 4,789 ล้านบาทในปี 2548 เพิ่มเป็น 5,900 ล้านบาทในปีนี้ และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว จากมูลค่า 2,105 ล้านบาทในปีที่แล้ว คาดว่าจะเติบโตเพิ่มเป็น 4,200 ล้านบาทในปีนี้
ทั้งนี้มีการปรับสายงานพัฒนาธุรกิจจากเดิมที่แยกตามธุรกิจกองทุน (กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนส่วนบุคคล) เป็นทีมวางแผนการลงทุน หรือ “Wealth Planer” ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำการลงทุนให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละท่าน โดยแบ่งเป็นการวางแผนการลงทุนสำหรับลูกค้าทั่วไป เพื่อให้คำแนะนำในการจัดสรรเงินลงทุน และนำเสนอกองทุนที่เหมาะสมแก่บุคคลทั่วไป รวมทั้งการวางแผนการลงทุนสำหรับลูกค้าสถาบัน เพื่อให้คำแนะนำในการจัดสรรเงินลงทุน และนำเสนอกองทุนที่เหมาะสมแก่ บริษัท ห้างหุ้นส่วน หรือองค์กรต่างๆเป็นต้น
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบีกล่าวถึงธุรกิจกองทุนรวมของบริษัทในปี 2548 ว่า บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 5.27% อยู่ในอันดับที่ 7 มีอัตราการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารสูงถึง 65.67% ขณะที่อุตสาหกรรมโต 59.83% มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการเพิ่มขึ้น 19,225 ล้านบาท มากเป็นอันดับ 4 เป็นบริษัทจัดการแห่งแรกที่ออกกองทุนรวมที่ลงทุนเฉพาะพันธบัตรรัฐบาล และกองทุนคุ้มครองเงินต้นที่มีผลตอบแทนอ้างอิงกับดัชนี SET 50
“ในปี 2549 นี้ บริษัทได้ตั้งเป้าเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การจัดการในธุรกิจกองทุนรวมอีก 16,483 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะมีการออกแบบกองทุนใหม่ๆให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่ากองทุนให้เพิ่มขึ้น” นายวนากล่าว
สำหรับรูปแบบกองทุนที่บลจ.ยูโอบี ออกแบบไว้สำหรับลูกค้าในแต่ละกลุ่มสำหรับปีนี้ ได้แก่ กลุ่ม UOB Sure ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนที่มีความมั่นคงสูง และให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก โดยเน้นลงทุนเฉพาะตราสารหนี้ภาครัฐบาล ประเภทคุ้มครองเงินต้น ได้แก่ ตั๋วเงินคลัง, พันธบัตรรัฐบาล, พันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีอายุใกล้เคียงกับกองทุน กองทุนนี้จึงมีความเสี่ยงต่ำมาก
กลุ่ม UOB Smart เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนที่หลากหลายตามระดับความเสี่ยง และมีสภาพคล่องสูง ตั้งแต่การลงทุนในตราสารหนี้ ผสมไปจนถึงตราสารทุน อีกทั้งผู้ลงทุนยังสามารถสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนระหว่างกองทุนภายในกลุ่มยูโอบี สมาร์ทได้
กลุ่ม UOB Select เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนทางเลือกใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็นกองทุนประเภทคุ้มครองเงินต้น โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่จะนำไปลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุใกล้เคียงกับกองทุน เพื่อทำให้เงินลงทุนในตราสารหนี้เพิ่มขึ้นเท่ากับเงินทุนเริ่มแรก โดยเงินทุนเริ่มแรกส่วนที่เหลือจะนำไปลงทุนในตราสารอนุพันธ์ ดังนั้นผลตอบแทนของกองทุนจึงขึ้นอยู่กับราคาหลักทรัพย์ หรือดัชนีอ้างอิงที่น่าสนใจ เช่น กองทุน EC (Enhanced Capital Protection Fund) เป็นกองทุนคุ้มครองเงินต้น ที่เพิ่งปิดกองทุนไปในเดือนธันวาคม 2548 ให้ผลตอบแทนสูงถึง 33.94% จากการลงทุน 3 ปี (อ้างอิงผลตอบแทนกับดัชนี SET 50)
“ที่ผ่านมาเราได้ออกแบบกองทุนที่มีความหลากหลายเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน ซึ่งมีให้เลือกทั้งกองทุนตราสารหนี้ และกองทุนตราสารทุน ที่มีระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่แตกต่างกันไปในแต่ละกองทุน” นายวนากล่าว
นายวนากล่าวต่อว่า ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ บริษัทเตรียมออกกองทุนใหม่อีก 2 กอง ได้แก่ กองทุน UOB Smart International Growth (UOBSIG) เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ โดยนำเงินไปลงทุนในกองทุน United International Growth Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่มุ่งลงทุนในหุ้นที่มั่นคง และมีแนวโน้มการเจริญเติบโตสูงทั่วโลก เป็นการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง ยามที่ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนสูง ภายใต้การบริหารของ UOB Asset Management ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจจัดการกองทุนในสิงคโปร์ ลงทุนผ่านกองทุนระดับ 4 ดาวจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P โดยที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนจากการลงทุนย้อนหลัง 1 ปี ถึง 16.53% ต่อปี และย้อนหลัง 3 ปีให้ผลตอบแทนสูงถึง 19.05% ต่อปี
โดยจะเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรกระหว่างวันที่ 20-27 กุมภาพันธ์ 2549 และจะเปิดขายหน่วยลงทุนทุกวันทำการอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2549 และเปิดขายคืนหน่วยลงทุนทุกวันที่ 16 ของเดือน โดยผู้ลงทุนจะต้องแจ้งความจำนงในการขายคืนในระหว่างวันที่ 1-5 ของเดือนนั้นๆ
ส่วนอีกกองทุนชื่อกองทุน UOB Sure 22/1 (UOBS22/1) เป็นกองทุนตราสารหนี้ประเภทคุ้มครองเงินต้น โดยมุ่งลงทุนในตั๋วเงินคลัง, พันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีอายุใกล้เคียงกับกองทุน ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก โดยอัตราผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นทุกๆ 6 เดือน และไม่ต้องเสียภาษี ได้แก่ งวดที่ 1 อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 4%ต่อปี และจะเพิ่มเป็น 4.25%, 4.75% และ 5%ต่อปี ตามลำดับตั้งแต่งวดที่ 1 ถึงงวดที่ 4 โดยมีอายุโครงการ 22 เดือน และเปิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติเพื่อคืนเงินลงทุน และผลตอบแทนทั้งหมดในวันสิ้นอายุโครงการ ซึ่งกองทุนนี้เหมาะกับนักลงทุนที่ชอบการการลงทุนที่มั่นคง และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น จะเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรกในวันที่ 27 ก.พ. - 6 มี.ค. 49
สำหรับช่องทางในการซื้อขายหน่วยลงทุนในปัจจุบันของบลจ.ยูโอบี ได้แก่ บลจ.ยูโอบี(ไทย) , ธนาคารยูไนเต็ด โอเวอร์ซีล์ (มหาชน) จำกัด, ผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน หรือทำรายการผ่านทาง Internet (www.uobam.co.th) รวมถึงช่องทางในการซื้อขายหน่วยลงทุนที่จะเพิ่มขึ้นคือทำรายการผ่านทางโทรศัพท์ (Interactive Voice Response) นอกจากนี้ยังสามารถเช็คข้อมูลการลงทุนของผู้ลงทุน ผ่านทาง Statement ที่จัดส่งทางไปรษณีย์ทุกสิ้นเดือน เช็คข้อมูลผ่านทาง Internet (www.uobam.co.th) หรือเช็คข้อมูลผ่านผู้สนับสนุนการขาย ที่สามารถดูข้อมูลของลูกค้าตนเองผ่าน UOBAM Selling Agent Web Service และยังเพิ่มช่องทางในการเช็คข้อมูลการลงทุนผ่านทางหนังสือรับรองสิทธิหน่วยลงทุน (Fund Book)
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :
พินิดา เพชรธนะกุล (ปุ้ย) / ชุติพนธ์ อัชวรานนท์ (เอก)
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ไทย) จำกัด
โทร. 0-2679-5577 ต่อ 654,661--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ