กรุงเทพฯ--27 ก.ค.--คต.
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลจีนได้ออกกฎหมายควบคุมความปลอดภัยผลิตภัณฑ์อาหารแห่งประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2552 หลังจากจีนประสบปัญหาพบสารปนเปื้อนในอาหารหลายครั้งที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำกับดูแลผู้ผลิตและผู้ค้าของจีน ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบและอาหารจนกระทั่งถึงผู้บริโภคเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคภายในประเทศ โดยการดำเนินการจะเป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมาตรการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวด ตลอดจนกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยอาหาร การใช้สารเติมแต่งอาหารของจีนและเพิ่มบทลงโทษรุนแรงต่อผู้ผลิตอาหารที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยจัดตั้งหน่วยงานประสานงานระดับสูงขึ้นมารองรับกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งสาระความสำคัญของกฎระเบียบที่เพิ่มความเข้มงวดมากขึ้น ครอบคลุมหลายด้าน เช่น
1) ผลิตภัณฑ์อาหารทุกประเภท จะถูกตรวจสอบ โดยไม่ได้รับการยกเว้น
2) ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม หรืออาหารบำรุงต่างๆ จะต้องระบุคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ในฉลากอย่างชัดเจน โดยจะต้องไม่ก่อให้เกิดการเข้าใจผิดว่าป้องกันและรักษาโรคได้
3) ห้ามระบุคำว่า “ใช้เพื่อป้องกันหรือรักษาโรคได้” บนฉลากสินค้าเพื่อสุขภาพ (Health care) แต่ต้องระบุส่วนประกอบที่สำคัญและกลุ่มผู้บริโภคที่สามารถและไม่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ได้
4) อนุญาตให้ใช้วัตถุเจือปนอาหาร (Food Additives) ตามที่ระบุไว้ในมาตรฐานระหว่างประเทศเท่านั้น โดยผลิตภัณฑ์อาหารที่จำหน่ายจะต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวด
5) หากพบว่า ผลิตภัณฑ์อาหารไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัยตามข้อกำหนด ผู้ผลิตอาหารต้องหยุดการผลิตทันที และเรียกคืนสินค้าดังกล่าวจากตลาดทั้งหมด
6) กรณีที่ผู้บริโภคถูกละเมิดสิทธิ์ จากอาหารที่ไม่ได้คุณภาพ สามารถเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 10 เท่า ของราคาจำหน่ายจากผู้ผลิตอาหาร
7) ผู้ประกอบการด้านอาหาร จะต้องได้รับใบอนุญาตแบบใหม่ที่เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2552 อย่างไรก็ดี สามารถใช้ใบอนุญาตเดิมได้จนกว่าใบอนุญาตจะหมดอายุ
นอกจากนี้ จีนยังเพิ่มมาตรการป้องกันความปลอดภัยอาหารเชิงรุก โดยส่งเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยอาหารของรัฐบาลไปตรวจสอบโรงงานผลิตอาหารทุกแห่งทั่วประเทศจีน โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า จีนเป็นตลาดส่งออกอาหารที่สำคัญลำดับที่ 4 ของไทย รองจากสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น โดยในปี 2551 ไทยส่งออกสินค้าอาหารไปยังตลาดจีน มูลค่า 28,889 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 3.7 ของมูลค่าการส่งออกอาหารทั้งหมดของไทย ถึงแม้ว่ากฎหมายดังกล่าวของจีนจะยังไม่มีความชัดเจนในข้อกำหนดที่บังคับใช้กับสินค้านำเข้า แต่กฎหมายดังกล่าวนั้นครอบคลุมสินค้าอาหารทั้งหมดที่วางจำหน่ายในประเทศ ฉะนั้นผู้ประกอบการส่งออกอาหารของไทยจะต้องติดตามข่าวสาร และระมัดระวังในการผลิตมากยิ่งขึ้น ตลอดจนเตรียมการรองรับระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) เพื่อป้องกันปัญหาในการส่งออกไปยังจีน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ทั้งนี้ กรมฯ จะได้ติดตามข่าวสารความคืบหน้าในการประกาศใช้กฎระเบียบต่างๆและประชาสัมพันธ์ให้ผู้ส่งออกของไทยทราบอีกทางหนึ่งด้วย