กรุงเทพฯ--30 ก.ค.--ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์
ทียูเอฟ ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 พร้อมจดบันทึกสถิติอีกครั้งเป็นประวัติการณ์ครั้งที่ 2 หลังกำไรสุทธิทะยานสูงเพิ่มขึ้น 136.6% ขณะเดียวกันก็โชว์ตัวเลขกำไรสุทธิช่วง 6 เดือนแรกที่ทำได้สูงถึง 1,607.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 63.8% สวนกระแสวิกฤตเศรษฐกิจ ผลจากประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านต้นทุน และการบริหารจัดการสินค้าคงคลังอย่างรัดกุม มั่นใจครึ่งปีหลังยังสามารถเติบโตได้ตามเป้า
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ทียูเอฟ ผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่เยือกแข็งและบรรจุกระป๋องรายใหญ่ของไทย เผยถึง ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ประจำปี 2552 ว่า “บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิเท่ากับ 954.5 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 136.6% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ของปี 2551 ที่ทำกำไรสุทธิ 403.4 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 1.08 บาท เพิ่มขึ้น 134.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อนที่เท่ากับ 0.46 บาท ในส่วนของรายได้จากการขาย บริษัททำรายได้จากการขายในรูปของเงินบาทเพิ่มขึ้น 2.4% จากรายได้ 16,792.3 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2551 มาอยู่ที่รายได้ 17,195 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2552 สำหรับรายได้จากการขายในรูปของเงินเหรียญสหรัฐนั้น บริษัทมียอดขายเท่ากับ 496.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 4.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปี 2551 ที่มียอดขายเท่ากับ 518.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่รายได้รวมของบริษัทยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมเท่ากับ 17,309.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 16,900.2 ล้านบาท
และในขณะเดียวกันภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกนั้น บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,607.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.8% เมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551 ที่มีกำไรเท่ากับ 981.4 ล้านบาท ส่วนรายได้จากการขายในรูปเงินบาทก็เติบโตขึ้น 8.2% จาก 32,207.9 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551 มาอยู่ที่ 34,861.4 ล้านบาทสำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ขณะที่รายได้จากการขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐลดลงเพียงเล็กน้อยจาก 996.5 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 6 เดือนแรกของปีก่อน มาอยู่ที่ 995.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือลดลง 0.1% สำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ โดยในครึ่งปีแรกนี้ บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้นเท่ากับ 35,198.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551 ที่มีรายได้รวมเท่ากับ 32,531.2 ล้านบาท”
ซึ่งจากตัวเลขกำไรสุทธิที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น นายธีรพงศ์กล่าวว่า “บริษัทมีความพึงพอใจเป็นอย่างมากกับผลการดำเนินงานที่ออกมา และต้องจดบันทึกเป็นสถิติใหม่อีกครั้ง ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 2 สำหรับกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ที่เติบโตพุ่งขึ้นถึง 136.6% และในขณะเดียวกันก็ทำให้ภาพรวมกำไรสุทธิในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้เติบโตเพิ่มสูงถึง 63.8% โดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,607.5 ล้านบาท สำหรับบันทึกสถิติในครั้งแรกของบริษัทคือ ในปี 2546 ที่บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิเฉพาะไตรมาส 2 อย่างเดียวเท่ากับ 714.5 ล้านบาท เติบโตขึ้น 164.4% และมีกำไรสุทธิในครึ่งปีแรกของปีนั้นเท่ากับ 1,461.5 ล้านบาท เติบโตขึ้น 154.2% สำหรับกำไรที่เพิ่มสูงขึ้นในไตรมาสนี้ เป็นผลมาจากการบริหารจัดการด้านต้นทุน และการบริหารจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่บริษัทให้ความสำคัญอย่างมาก โดยการดูแลและควบคุมต้นทุนอย่างรัดกุม ทำให้มาร์จิ้นของเราดีขึ้นมาก เมื่อเปรียบกับปีที่แล้ว”
นอกจากนี้ นายธีรพงศ์ยังอธิบายต่อถึงยอดขายว่า “ยอดขายในรูปเงินบาทของบริษัทยังมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะยังต้องเผชิญกับปัญหาค่าเงินบาท แต่ด้วยการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรัดกุม และติดตามสถานการณ์ทางด้านการเงินอย่างใกล้ชิด ทำให้บริษัทยังรักษาอัตราการเติบโตของยอดขายในรูปเงินบาทได้ และสำหรับยอดขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐของไตรมาสนี้ที่เติบโตลดลง เป็นการลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สาเหตุจากราคาวัตถุดิบที่ปรับลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทำให้ต้องปรับราคาขายลงมาปกติ และถึงแม้ว่าราคาขายจะลดลง แต่ปริมาณการขายของบริษัทไม่ได้ลดลงตามไปด้วย ปริมาณการขายโดยรวมของไตรมาส 2 นี้เพิ่มขึ้นถึง 4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นเหตุผลให้มูลค่าการขายรูปเงินดอลลาร์ไม่ได้ลดลงไปมากนัก และถึงแม้ยอดขายจะไม่ได้เติบโตมาก แต่บริษัทสามารถทำมาร์จิ้นได้ดีและดีอย่างมากสำหรับในไตรมาสนี้”
สำหรับสัดส่วนยอดขายตามผลิตภัณฑ์ในไตรมาส 2 ปี 2552 ผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ายังคงเป็นอันดับหนึ่งโดยมีสัดส่วน 43% อันดับสองได้แก่ กุ้งแช่แข็ง 20% รองลงมาคือ อาหารทะเลบรรจุกระป๋อง 9% อาหารแมวบรรจุกระป๋อง 8% อาหารกุ้ง 7% ปลาซาร์ดีนบรรจุกระป๋อง 5% ผลิตภัณฑ์ในประเทศ 5% และปลาหมึกแช่แข็ง 3% โดยมีตลาดส่งออกหลักคือ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น อัฟริกา ตะวันออกกลาง เอเชีย โอเชียเนีย แคนาดา และอเมริกาใต้
หากมองสถานการณ์การส่งออกของไทยในปีนี้จะเห็นว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม - เดือนมิถุนายน มูลค่าการส่งออกติดลบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ภาพรวมการส่งออกช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่าลดลงทั้งในรูปเงินบาท และเงินเหรียญสหรัฐ คือ -17.1% และ -23.5% ตามลำดับ ซึ่งน่าจะเป็นผลมากจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก และส่งผลต่อสภาพตลาด แต่อย่างไรก็ตาม จากกำไรในไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกของบริษัทที่เพิ่มสูงขึ้น ถือเป็นสัญญาณที่ดีมากสำหรับบริษัท และบริษัทก็พอใจต่อความสามารถในการดำเนินธุรกิจอันแข็งแกร่งในภาวะที่มีวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้ ซึ่งจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาจะเห็นว่า บริษัทจะสามารถเติบโตได้ดีในช่วงที่เกิดวิกฤต ดังนั้นในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ บริษัทมั่นใจว่า จะยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตทั้งยอดขายและกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และเชื่อมั่นว่า จะสามารถทำตามเป้าที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน
และจากกำไรที่เติบโตนี้ ทำให้ gross margin ของบริษัทดีขึ้นอย่างมากจาก 13.34% ในไตรมาส 2 ปี 2551 เป็น 16.15% สำหรับไตรมาส 2 ปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้การจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลของครึ่งปีแรกนี้ต้องดีเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง และไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ นายธีรพงศ์กล่าวทิ้งท้าย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
แผนกสื่อสารองค์กร
บมจ. ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์
โทร. 0-2298-0024 ต่อ 675-678