กทม. จำต้องน้อมรับคำสั่งศาลที่ไม่รับฟ้องขอยุติจ่ายค่ารถดับเพลิงงวดที่ 6-9

ข่าวทั่วไป Monday August 10, 2009 16:17 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--10 ส.ค.--กองประชาสัมพันธ์ กทม. กทม. น้อมรับปฏิบัติตามคำสั่งศาลที่ไม่รับฟ้อง ตามที่ กทม.ขอให้ศาลสั่งห้ามไม่ให้ บ.สไตเออร์ เรียกเก็บเงินค่ารถและเรือดับเพลิงงวดที่ 6-9 จำนวน 2,588 ลบ.แต่จะเค้นหาเอกสารหลักฐานและข้อเท็จจริงให้ศาลเชื่อว่าสามารถระงับการจ่ายเงินได้ในงวดที่ 7-9 ไม่ให้ กทม.เสียหายมากไปกว่านี้ พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยกรณีรถและเรือดับเพลิง ว่า กรุงเทพมหานครได้ทำหน้าที่ตามคำสั่งของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และดำเนินการโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นสำคัญ ซึ่งการดำเนินการกรณีรถและเรือดับเพลิงมีข้อสรุป คือ เจ้าหน้าที่ของ บ.สไตเออร์ เดมเลอร์พุค สเปเชียล ฟาซอยต์ เอจี จำกัด (Steyr — Daimler — Puch Spezialfahrzeug AG & CO KG) ได้มีพฤติการณ์ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของไทยกระทำการวางแผน โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของตนเองใช้อุบายหลอกลวงหรือกระทำการเป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มีโอกาสเข้าเสนอราคาและ หลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม และร่วมกันทุจริตออกแบบ กำหนดราคา กำหนดเงื่อนไข และกำหนดผลประโยชน์ตอบแทนอันเป็นมาตรฐานในการเสนอราคา เพื่อช่วยให้ บ.สไตเออร์ฯ ได้สิทธิเข้าทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแต่เพียงผู้เดียว จากสาเหตุดังกล่าวเป็นเหตุให้ ป.ป.ช. สั่งให้กทม. ดำเนินการขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษายกเลิก หรือเพิกถอนการอนุมัติ ซึ่งก่อนหน้านั้น กทม. ต้องจ่ายเงินไป 5 งวด เป็นจำนวนเงิน 3,905 ล้านบาท และคงเหลือต้องจ่ายอีก 6-9 งวด เป็นจำนวนเงินประมาณ 2,588 ล้านบาท จึงขอให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาจัดพนักงานอัยการดำเนินการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิพากษาให้ยกเลิกหรือเพิกถอนใน 3 ประเด็น คือ 1. ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาซื้อขาย บันทึกข้อตกลงซื้อขาย ตามข้อตกลงความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐออสเตรีย 2. สั่งห้ามไม่ให้จำเลยเรียกเก็บเงินงวดที่ 6-9 รวมจำนวนประมาณ 2,588 ล้านบาท จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ 3. ขอให้ศาลสั่งให้ บ.สไตเออร์ฯ คืนเงินที่ได้จ่ายไปทั้งหมด พร้อมดอกเบี้ย 7.5% แก่กทม. ทั้งนี้ศาลได้ประทับรับฟ้องใน 2 ประเด็น คือ 1. ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาซื้อขาย บันทึกข้อตกลงซื้อขาย ตามข้อตกลงความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐออสเตรีย และ 2. ขอให้ศาลสั่งให้ บ.สไตเออร์ฯ คืนเงินที่ได้จ่ายไปทั้งหมด พร้อมดอกเบี้ย 7.5% แก่กทม. แต่ไม่รับฟ้องในประเด็นสั่งห้ามไม่ให้จำเลยเรียกเก็บเงินงวดที่ 6-9 รวมจำนวนประมาณ 2,588 ล้านบาท จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งกทม. จำเป็นต้องจ่ายเงินงวดที่ 6 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยศาลมองว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะยุติข้อตกลง Letter of Credit (L/C) ได้ เพราะในสัญญา L/C ยังไม่พบความผิดหรือการฉ้อฉล หากยุติ L/C อาจทำให้ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยเสียหาย ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า รู้สึกเสียใจในคำตัดสิน แต่ต้องยอมรับตามคำวินิจฉัยของศาล อีกทั้งเป็นนิมิตหมายที่ดีทีศาลได้ประทับรับฟ้องในประเด็นที่เสนอถึงสองประเด็น ซึ่งจากนี้ไปจะได้พิจารณารายละเอียดคำพิพากษาของศาลเพื่อหาเอกสารหลักฐานและข้อเท็จจริงที่จะเป็นเหตุให้ศาลเชื่อว่าจะสามารถระงับการจ่ายเงินได้ในการจ่ายเงินงวดที่ 7-9 เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายมากกว่านี้

แท็ก ว่าน  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ