กรุงเทพฯ--3 ก.ย.--กกพ.
นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ กกพ. ได้รับแต่งตั้งและเริ่มปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 เป็นต้นมา ในช่วงปี 2551 — 2552 กกพ. ได้ดำเนินงานที่สำคัญ ประกอบด้วย การจัดทำกฎ ระเบียบ ข้อกำหนด หลักเกณฑ์ และแนวทางต่างๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือและกลไกในการวางรากฐานการกำกับกิจการพลังงานของประเทศ เช่น การจัดทำแนวทาง กระบวนการ และคู่มือการออกใบอนุญาต การศึกษาหลักเกณฑ์และแนวทางการกำกับอัตราค่าบริการพลังงานให้เกิดความเป็นธรรม การพัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้ประกอบการเพื่อวางแผน การกำหนดนโยบายและการกำกับดูแล การศึกษาและเสนอแนะมาตรการเพื่อให้เกิดความมั่นคง เชื่อถือได้ และความปลอดภัยของระบบโครงข่ายพลังงาน โดยมีผลการดำเนินการ ดังนี้
การออกใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงาน กกพ. ได้ออกใบอนุญาตให้ผู้ประกอบกิจการพลังงานทั้งภาครัฐและเอกชนรวม 687 ฉบับ แบ่งเป็น ใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้า จำนวน 144 ฉบับ ใบอนุญาตประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ จำนวน 4 ฉบับ และใบอนุญาตผลิตพลังงานควบคุมจำนวน 539 ฉบับ ซึ่งใบอนุญาตเป็นกลไกสำคัญที่ กกพ. ใช้กำกับดูแลกิจการพลังงาน โดยผู้รับใบอนุญาตต้องปฏิบัติตามกฎหมายและเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตอย่างเคร่งครัด หากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม
กกพ. จะมีมาตรการให้ผู้รับใบอนุญาตต้องรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ เป็นการสร้างมาตรฐานด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม ประสิทธิภาพและคุณภาพการให้บริการของผู้รับใบอนุญาต เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน
นอกจากนี้ กกพ. ยังได้กำกับการดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชน ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
การกำกับดูแลอัตราค่าบริการ กกพ. ได้กำกับให้มีการปรับอัตราค่าไฟฟ้าและค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติของผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงานในระดับที่เหมาะสมและคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชน ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม และความสามารถในการประกอบกิจการของผู้รับใบอนุญาต โดยได้อนุมัติให้มีการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือ ค่า Ft ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการน้อยที่สุด แต่ยังคงเป็นระดับที่ กฟผ. มีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินงานและการลงทุน รวมทั้งอนุมัติให้มีการปรับอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติที่สะท้อนภาระการลงทุนของ บมจ.ปตท. เท่าที่จำเป็นและเพียงพอต่อการลงทุนขยายระบบโครงข่ายก๊าซธรรมชาติ
กกพ. ได้มีการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยให้ความสำคัญต่อการจัดทำรายละเอียดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และยกร่างประกาศการให้ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (ประกาศ Adder) และมอบหมายให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง รับไปจัดทำรายละเอียดและประกาศใช้ ซึ่งการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ออกประกาศ Adder และอยู่ระหว่างการพิจารณาให้ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน นอกจากนี้ กกพ. ยังให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม โดยอยู่ระหว่างการกำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้ขอรับใบอนุญาตที่มีกำลังการผลิตไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ต้องรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมให้ กกพ. ทราบ เพื่อประกอบการพิจารณาให้ใบอนุญาต
นอกจากนั้น กกพ. ยังปฏิบัติหน้าที่ตาม พรบ.การประกอบกิจการพลังงาน โดย กกพ. เสนอความเห็นต่อแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2551 — 2564 (PDP 2007 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) การเสนอความเห็นโดยการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพระบบจำหน่าย โดยพิจารณาแผนของระบบโครงข่ายพลังงานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมทั้งเสนอความเห็นต่อแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติ พ.ศ.2551 — 2564 ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
สำหรับภารกิจที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2553 อาทิ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบพลังงาน ในการจัดตั้งคณะกรรมการผู้ใช้พลังงานประจำเขต ซึ่งการจัดตั้งคณะกรรมการประจำเขตจะส่งผลให้ผู้ใช้พลังงานในแต่ละเขตพื้นที่ได้มีส่วนร่วมในการจัดการพลังงาน โดยจะแบ่งเป็น 13 เขต และ สกพ. อยู่ระหว่างการจัดตั้งสำนักงานประจำเขต 13 เขต เพื่อทำหน้าที่สกพ. ในระดับภูมิภาค
นอกจากนี้ สกพ. ได้เตรียมการจัดตั้งกองทุนพัฒนาไฟฟ้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนสนับสนุนการให้บริการไฟฟ้าไปยังท้องที่ต่างๆ อย่างทั่วถึง เพื่อกระจายความเจริญไปสู่ท้องถิ่นและพัฒนาชุมชนในท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า โดยอยู่ระหว่างยกร่างหลักเกณฑ์และระเบียบต่างๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการกองทุนดังกล่าวซึ่งยึดหลักการการมีส่วนร่วม โดยเปิดกว้างในการรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียต่างๆ เพื่อนำมาจัดทำระเบียบที่มีความเหมาะสม และเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด ทั้งนี้ กกพ. คาดว่าจะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2553
และการศึกษาค่าบริการและการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าที่เหมาะสม เนื่องจากโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าปัจจุบันใช้มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 เป็นต้นมา ซึ่งครบกำหนดระยะเวลาตามสมมติฐานการประมาณการฐานะการเงินของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และการกำหนดหลักเกณฑ์ทางการเงินที่ใช้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าดังกล่าวแล้ว ดังนั้น เพื่อให้อัตราค่าบริการไฟฟ้ามีความเหมาะสมสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน กกพ. จึงให้ สกพ. ทำการศึกษาการกำกับอัตราค่าบริการพลังงานให้เกิดความเป็นธรรม เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อผู้ใช้บริการและผู้ประกอบกิจการพลังงาน สอดคล้องกับต้นทุนของกิจการแต่ละประเภท และเป็นฐานข้อมูลที่ใช้ในการกำกับดูแลอัตราค่าบริการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คาดว่าการศึกษาดังกล่าวจะแล้วเสร็จปี 2553