“ก.วิทย์ฯ” เดินหน้าชู iTAP Big Impact ยกระดับคุณภาพการผลิตกลุ่ม SMEs ภาคอีสาน เน้นเทคนิคง่ายต่อการนำไปใช้ เชื่อสร้างรายได้ ลดรายจ่าย

ข่าวทั่วไป Wednesday September 9, 2009 14:21 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--9 ก.ย.--ทูเดย์ คอมมูนิเคชั่น “ก.วิทย์ฯ” เดินหน้าชู iTAP Big Impact ยกระดับคุณภาพการผลิตกลุ่ม SMEs ภาคอีสาน เน้นเทคนิคง่ายต่อการนำไปใช้ เชื่อสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ขยายตลาด เสริมศักยภาพ เพิ่มความเชื่อมั่น กระทรวงวิทย์ฯ เดินหน้าเสริมศักยภาพให้กลุ่ม SMEs ภาคอีสาน ประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน สถาบันการศึกษาในพื้นที่ ประยุกต์ใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อปรับปรุงและพัฒนาภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เกิดในระบบ และสามารถแข่งขันได้อย่างทัดเทียม ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดงาน “iTAP อีสาน Big Impact” iTAP เครือข่ายอีสาน พาอุตสาหกรรมโรงสีข้าว ปรับตัวสู้วิกฤตเศรษฐกิจ ที่ห้องสุรนารีแกรนด์บอลรูม โรงแรมดุสิต ปริ้นเซส จ.นครราชสีมา ย้ำหลังเปิดตัวโครงการดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2552 พบว่าได้รับแรงตอบรับล้นหลาม และเชื่อว่าการเดินเข้าหากลุ่ม SMEs ในแต่ละภูมิภาค เพื่อนำเสนอองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคนิคทางวิศวกรรมที่ง่ายต่อการนำไปใช้ให้แก่ผู้ผลิตโดยตรง จะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ ภาคธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรม อันจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจที่ได้ผลอย่างชัดเจน เป็นรูปธรรมในวงกว้าง สามารถสนองตอบความต้องการของ SMEs ได้โดยตรง “3 ภาคการผลิตหลักที่สำคัญระดับมหภาคของประเทศ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับคนไทยจำนวนมาก นั่นก็คือ การผลิตข้าว การเลี้ยงไก่ และการอบยางพารา ซึ่ง iTAP มีผู้เชี่ยวชาญกว่า 350 คน ที่สามารถดึงเอาความเชี่ยวชาญเหล่านั้นมาช่วยยกระดับเทคโนโลยีของ SMEs ทั่วประเทศ สามารถจะนำไปประยุกต์ใช้ได้ทันทีกับโรงสีข้าวกว่า 43,000 แห่ง ฟาร์มไก่ 64,000 แห่ง และเตาอบยางแผ่นรมควันอีก 660 แห่งทั่วประเทศ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่ง ซึ่งมีโรงสีข้าวประเภทอุตสาหกรรม 28,923 บริษัท เฉพาะที่จังหวัดนครราชสีมามี 4,626 บริษัท นับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยเลย ดังนั้นการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพโรงสีข้าวเพื่อให้ “ก้าวสู่อุตสาหกรรมโรงสีข้าวยุคใหม่ ด้วยกลไกของเทคโนโลยี” จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ได้เล็งเห็นว่าจะสามารถเสริมศักยภาพให้แก่ SMEs ในพื้นที่ ส่วนนี้ถ้าสำเร็จเท่ากับว่าผู้ประกอบการจะมีกำไรจากส่วนที่เคยสูญเสียไปในกระบวนการผลิตแบบเดิม จนสามารถคุมต้นทุน ตุนกำไรเพิ่ม เสริมศักยภาพการแข่งขันได้อีก นอกจากนั้นยังเท่ากับว่าเราได้ร่วมกันเสริมความแข็งแกร่ง และติดอาวุธทางปัญญาให้แก่ภาคธุรกิจโครงสร้างโดยตรง ซึ่งนอกจากประโยชน์ทางการค้าแล้ว ยังสามารถลดการใช้พลังงานซึ่งเป็นต้นทุนที่ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบด้วย และได้ผลักดันให้โครงการ iTAP เข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดที่ 2 ที่เชื่อมโยงกับนโยบายเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของภาครัฐที่ได้เริ่มดำเนินการแล้ว” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกล่าว ด้าน ศ.ดร.ชัชนาถ เทพธรานนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวว่า ในปี 2552 นี้ จะมุ่งเน้นการยกระดับเทคโนโลยีในภาคการผลิตหลักที่สำคัญของประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้างแก่ประเทศได้อย่างมาก ส่งตรงถึงมือผู้ประกอบการ SMEs และเกษตรกรต่างๆ อันได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการสีข้าว การอบยางพารา และสภาวะแวดล้อมในโรงเรือนเลี้ยงไก่ ฯลฯ ด้วยการเพิ่มคุณภาพผลผลิตหลายเท่าตัว ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มมูลค่าสินค้า พร้อมลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสิ่งที่ iTAP หรือ โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย หนึ่งในโครงการภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กำลังเร่งดำเนินการภายในปี 2552 นี้ก็คือ ตั้งเป้าช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีแก่ SMEs ได้กว่า 300 ราย ให้มีผลสำเร็จจากการดำเนินงานที่ชัดเจน ซึ่ง iTAP ได้ช่วยเหลือ SMEs ไปแล้วกว่า 2,000 ราย “iTAP เน้นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดด้วยบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนั้นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการได้รับประโยชน์ที่ชัดเจนจากการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยนำเสนอแนวทางการปรับปรุง พัฒนาเทคนิคการผลิตที่ดียิ่งขึ้น ทำให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว และต่อยอดความรู้ออกไปไม่สิ้นสุด ตลอดจนกระตุ้นส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมได้ปรับตัวพร้อมรับกับสภาพการแข่งขันที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งภาคการผลิตข้าวของไทยก็เช่นกันจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องได้รับ Know-how ใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อที่จะรักษาตลาดและคุณภาพสินค้าของเราไว้ให้ได้ ซึ่งเชื่อว่าด้วยเครือข่าย iTAP ที่มีอยู่ทั่วประเทศจำนวนทั้ง 10 แห่ง และมีความพร้อมทั้งเทคโนโลยีและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญที่จะให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในพื้นที่ด้วยความเต็มใจ ดังนั้นโอกาสที่เปิดกว้างอย่างนี้ จึงอยากให้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อให้เข้าถึงผู้ประกอบการอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว เพื่อประโยชน์แก่ภาคอุตสาหกรรมของเราโดยตรง” ศ.ดร.ชัชนาถ เทพธรานนท์ กล่าว ส่วน ศ.ดร.ประสาท สืบค้า อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ได้กล่าวสนับสนุนและขยายแนวคิดดังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในส่วนของ 4 มหาวิทยาลัยเครือข่าย iTAP ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งได้ผนึกกำลังร่วมใจจัดงาน “iTAP อีสาน Big Impact” เพื่อช่วย SMEs ภาคอีสานให้สามารถปรับตัวสู้วิกฤติเศรษฐกิจให้ได้นั้นประกอบไปด้วย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยทั้งหมดมีความเห็นพ้องในแนวทางของการเป็นสถาบันการศึกษาในพื้นที่ซึ่งพร้อมที่จะถ่ายทอดและประยุกต์ใช้องค์ความรู้ด้านต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่มีความเข้มแข็ง ซึ่งเท่ากับเป็นการถ่ายทอดความรู้และการร่วมกันแสวงหาแนวทางการยกระดับภาคการศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับบทบาทการผลิตบุคลากรเพื่อสนับสนุน พัฒนาและยกระดับชุมชนผ่านองค์ความรู้ด้านต่างๆ นั่นเอง “การประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งจากส่วนกลางและในพื้นที่ ซึ่งสำหรับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีนั้นเห็นพ้องกับแนวทางที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ได้ดำเนินการ พร้อมทั้งยินดีอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นมหาวิทยาลัยเครือข่าย iTAP ในพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งย่อมสามารถประเมินสถานการณ์ สภาพปัญหาของผู้ประกอบการในพื้นที่ได้อย่างตรงจุด และยังเป็นการเปิดโอกาสให้สถาบันการศึกษาในพื้นที่ได้ใช้องค์ความรู้ที่มีการศึกษาอย่างเป็นระบบ ถ่ายทอดลงสู่ผู้ปฏิบัติจริง ซึ่งก็คือภาคธุรกิจ การเอื้อประโยชน์แก่กันและกันนี้ เท่ากับว่าภาคการศึกษาได้วัดผลทฤษฎี ภาคธุรกิจได้รับแรงส่งที่ผ่านกระบวนการคิดและทดลองจนเห็นผลแล้ว ซึ่งจะทำให้โครงสร้างภาคอุตสาหกรรมของเราแข็งแกร่งขึ้น ทั้งสถาบันการศึกษาและผู้ประกอบการจะก้าวไปพร้อมๆ กันเพื่อแผ่ขยายและต่อยอดองค์ความรู้สืบไปไม่รู้จบ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าระบบการศึกษาจะได้ขับเคลื่อนภาคสังคมอย่างแท้จริง” อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กล่าวปิดท้าย สำหรับวัตถุประสงค์การจัดงาน “iTAP อีสาน Big Impact” ในครั้งนี้ ก็เพื่อประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการและประชาสัมพันธ์โครงการให้เป็นที่รู้จักแก่ผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อให้ทราบถึงกลไกการบริหารจัดการของโครงการ iTAP ที่ทำให้เครือข่ายภาคอีสานมีความเข้มแข็งมาจนถึงปัจจุบัน ภายในงานยังมีการเสวนาโดยผู้เชี่ยวชาญของ iTAP ด้านการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพโรงสีข้าว ในหัวข้อ “ก้าวสู่อุตสาหกรรมโรงสีข้าวยุคใหม่ ด้วยกลไกของเทคโนโลยี” ซึ่งมีผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในการทำโครงการด้านปรับปรุงคุณภาพโรงสีข้าว 2 ราย คือ บจก.โรงสีไทยอุดร และ หจก.โรงสีรุ่งชัยกิจ พร้อมด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญ ประกอบด้วย อ.สุรศักดิ์ จันโทริ และ อ.กุลวุฒิ จอกน้อย จากสำนักงานพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มาร่วมแลกเปลี่ยนให้ความรู้ นอกจากนี้ยังเปิดรับสมัครสมาชิก iTAP ฟรี……พร้อมทั้งให้คำปรึกษาในด้านต่างๆ อีกด้วย สำหรับ SMEs ที่ต้องการความช่วยเหลือจาก iTAP จะต้องเป็นนิติบุคคล มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 200 ล้านบาท และจะได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินไม่เกิน 50%

แท็ก ภาคอีสาน   SME  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ