กรุงเทพฯ--23 มี.ค.--แม็กซิม่า คอนซัลแตนท์ การเรียนรู้ ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ในห้องเรียนเท่านั้น โลกกว้างภายนอกคือ หนึ่งในแหล่งเรียนรู้ชั้นดี ของเด็ก ๆ ขณะที่ บรีส ริเริ่มแคมเปญเปิดโลกการเรียนรู้ โดยร่วมกับคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตลอดเวลา 6 ปี มุ่งส่งเสริมให้เยาวชนได้เรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ภายใต้แนวคิด “กล้าเลอะ ยิ่งเยอะประสบการณ์” เพราะการเรียนรู้มีได้ทุกหนทุกแห่ง และเมื่อ บรีส พบว่า เด็กไทยกำลังเผชิญกับภาวะความเครียด จึงได้มอบหมายให้สำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการศึกษาวิจัยนำร่อง พร้อมกับหาทางออกเรื่องความเครียด ทำให้ค้นพบแนวคิดเรื่อง เพลย์ คิว (Play Q) หรือ ความฉลาดทางการเล่น ขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย เมื่อเด็กได้เล่นอย่างอิสระเหมาะสมตามวัย ทำให้เด็กอารมณ์ดี มีความสุข ปราศจากความเครียด ทั้งนี้จิตแพทย์ย้ำ เพลย์คิว เป็นรากฐานสำคัญของ ไอคิด และอีคิว โดยได้มีการเปิดตัว “เพลย์ คิว” เป็นครั้งแรก โดยภายในงานได้มีการเสวนาเรื่อง “เลี้ยงลูกให้เก่งต้องมี เพลย์ คิว” และกิจกรรมการทดสอบความฉลากทางการเล่น ณ อาคารยูนิลีเวอร์ แฟมิลี่ เลิร์นนิ่ง เซ็นเตอร์ ในพิพิธภัณฑ์เด็ก สวนจัตุจักร กล่าวกันว่า เด็กเหมือนผ้าขาว แต่เด็กก็ไม่ใช่ผ้าขาวที่จะขาวได้ตลอด ดังนั้นกิจกรรมเสวนา เลี้ยงลูกให้เก่งต้องมี เพลย์ คิว บรีส จึงได้เชิญผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา มาพูดคุย ถึงปัญหา และแนวทางการแก้ไข ความเครียดของเด็ก ซึ่งเป็นผ้าขาวที่พร้อมจะหม่นได้ทุกเมื่อ โดย พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวถึงสถานการณ์ความเครียดของเด็กในปัจจุบันว่า “ภาวะของเด็กในเวลานี้ มีความเครียดสูงมาก และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กเครียดมากขนาดไหน วัดได้จากการเปิดโรงเรียนสอนกวดวิชาต่างๆ ที่ผุดขึ้นมากมาย โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียดเช่น เกิดจากตัวเด็ก เด็กบางส่วนเกิดมาพร้อมกับความพร้อมที่จะเครียด ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่เลี้ยงยาก หงุดหงิดง่าย งอแง หรือความไม่สมบูรณ์ทางความคิด หรืออารมณ์ จะทำให้เกิดความเครียดง่าย ส่วนที่สองคือสิ่งแวดล้อม ถ้าเด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี หรือสังคมที่อบอุ่น มีความเข้าใจกัน ก็จะทำให้เขาได้รับสิ่งดี ๆ แต่หากว่าเด็กอยู่ในสังคมที่มีแต่การแข่งขัน กดดัน เด็กก็พร้อมที่จะเกิดความเครียดได้” นอกจากนี้แพทย์หญิงคนเก่งยังกล่าวอีกว่า “ความเครียดในเด็กสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ความเครียดที่หนีไม่พ้น คือความเครียดที่เด็กต้องเผชิญ ให้เด็กเรียนรู้ที่จะปรับตัว เช่นการย้ายโรงเรียน ส่วนความเครียดที่แก้ไขได้ เป็นความเครียดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นที่เด็กสามารถจัดการแก้ไขได้ เช่น ปัญหาเรื่องการเรียน สำหรับเด็กบางคนได้ รับความเครียดมาเรื่อย ๆ จนเรื้อรัง อาจมาจากความคาดหวังตั้งใจในการเลี้ยงดู ของพ่อแม่ ซึ่งความรักที่มีต้นทุนสูงนี้ จะแปรมูลค่าไปสู่ ความคาดหวังที่กลายเป็นความกดดัน และเครียดในที่สุด ซึ่งเด็กจะค่อย ๆ แสดงออกทั้งเรื่องผลการเรียนที่แย่ลง คบเพื่อนน้อย และหันไปสนใจกิจกรรมบางอย่างเช่น เล่นเกมคอมพิวเตอร์ ทำให้ไม่อยากไปโรงเรียน จากนั้นพฤติกรรมถดถอยเริ่มแสดงออกทีละน้อย เช่น กัดเล็บ ดูดนิ้ว ซึมเศร้า” เมื่อ บรีส พบว่า การเล่นเป็นอีกทางหนึ่ง ในการแก้ไขความเครียด โดยความร่วมมือในการวิจัยนำร่องของ รศ.ชัชชัย โกมารทัต อาจารย์ประจำสำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าของงานวิจัยเกี่ยวกับ เพลย์ คิว กล่าวว่า “เพลย์ คิว (Play Q) หรือ เพลย์ ควอเธียน (Play Quotient) คือ ความสามารถในการควบคุม สั่งการ ตัดสินใจ มีสติ มีไหวพริบ และรู้จักแก้ปัญหาในขณะที่เคลื่อนไหวร่างกาย หรือขณะเล่น สามารถเคลื่อนไหวในสถานการณ์ หรือสิ่งแวดล้อมใด ๆ ได้เหมาะสม ถูกต้อง เกิดประสิทธิภาพตามเพศและวัย เรียกง่าย ๆ คือ ความฉลาดที่เกิดจากการเล่น เมื่อเด็กได้เล่นอย่างอิสระ นอกจากความสนุกสนานเพลิดเพลินที่ได้รับ ยังก่อให้เกิดการพัฒนาการทางสมอง กระตุ้นการเชื่อมโยงใยประสาทมากกว่าเวลาอื่น เกิดการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ ปราศจากความเครียด ส่งผลให้เติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์” ทั้งนี้ เพลย์ คิว ยังเป็นรากฐานสำคัญของ ไอคิว และอีคิวที่ดี ซึ่งเด็ก ๆ จะมีไอคิว และอีคิวที่ดีได้นั้น ต้องเริ่มต้นจากความสมบูรณ์ทางด้านเพลย์ คิวเสียก่อน ซึ่งนอกจากการเล่นจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว การเล่นยังทำให้เด็กมีพัฒนาการทางอารมณ์ที่ดี (EQ) กล่าวคือ มีจิตใจผ่องใส และมีทักษะในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น ทั้งสองสิ่งนี้ก็จะส่งผลให้สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้ดี ช่วยให้เกิดพัฒนาการทางสติปัญญา (IQ) เรียกได้ว่า ได้เล่น ได้เลอะ ได้เรียนรู้ จากนั้นวิธีวัด เพลย์ คิว ที่ บรีสได้ริเริ่มทดสอบความฉลาดทางการเล่นของเด็กด้วย 4 แบบทดสอบ โดยแต่ละประเภทจะเป็นการวัดความสามารถของเด็กในรูปแบบที่แตกต่างกัน 1. วิ่งซิกแซกสลับวิ่งตรง เก็บของเหมือน เป็นการทดสอบความฉลาดในการเคลื่อนไหวร่างกายที่เกี่ยวกับความสามารถทางกลไกทั่วไปของเด็ก 2. ขว้าง — รับ สลับแตะรับลูกบอลกระทบผนัง เป็นแบบทดสอบความฉลาด ในการเคลื่อนไหวร่างกาย ที่เกี่ยวกับการเล่นเกม และกีฬาที่เด็กนิยม 3.วิ่งใส่เหรียญในกระป๋องตามคำสั่ง ทดสอบความลาดในการเคลื่อนไหวร่างกายที่เกี่ยวกับการรับรู้และการควบคุม การเคลื่อนไหวร่างกายของเด็ก 4. วิ่งวิบาก ทดสอบความฉลาดในการเคลื่อนไหวร่างกายที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวพื้นฐาน ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันสำหรับเด็ก ผลการทดสอบที่ถูกต้องจะต้องทดสอบให้ครบทั้ง 4 ข้อ จึงจะทำให้ทราบค่า เพลย์ คิว ของเด็กแต่ละคน โดยแบบทดสอบนี้จะเป็นแบบทดสอบที่ใช้กับเด็กอายุระหว่าง 7 — 12 ปี ซึ่งผลการทดสอบที่ผ่านมาพบว่า เด็กในกรุงเทพฯ และเด็กต่างจังหวัด มีความแตกต่างกันมาก โดยเด็กในกรุงเทพฯ มี เพลย์ คิว ต่ำกว่าเด็กต่างจังหวัด นั่นอาจจะเป็นเพราะวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน เด็กในกรุงเทพฯ บางคน มีเวลาในการเล่นน้อย เพราะต้องกดดันอยู่กับอิทธิพลของแฟชั่น ค่านิยมของสังคม ดูได้จากแบบสอบถาม ที่ว่าตารางเวลาในแต่ละวันของพวกเขามีอะไรบ้าง จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่ตอบว่า ทำการบ้าน เรียนพิเศษ อ่านหนังสือ ผิดกับเด็กต่างจังหวัด ที่มีเวลาเล่น บวกกับมีพื้นที่ในการเล่นมากกว่า รวมทั้งมีอิสระ นอกจากนี้กีฬาพื้นบ้าน หรือ การละเล่นพื้นบ้าน การเล่นอะไรที่ง่าย ๆ ยังมีส่วนสัมพันธ์ ช่วยในการพัฒนา เพลย์ คิว ด้วย อาทิ วิ่งไล่จับ (โปลิศจับขโมย), วิ่งเปี้ยว, ตระกร้อ, มวยไทย, ช่วงชัย, โป้งแปะ, ขี่ม้าตาบอด, งูกินหาง, เสือข้ามห้วย เป็นต้น ฉะนั้นถ้าอยากให้ลูกเล่นเป็นต้องมี เพลย์ คิว เล่นให้เป็น เล่นให้เกิดการพัฒนา การเล่นเป็นพื้นฐานสำคัญในชีวิต เพราะเด็กทุกคนหนีไม่พ้นเรื่อง การเคลื่อนไหวร่างกาย ถ้าเด็กเคลื่อนไหวอย่างฉลาด การทำงาน ทำกิจกรรมทุกอย่าง ทุกเรื่อง ก็จะประสพความสำเร็จ รศ.ชัชชัย กล่าวย้ำ ด้าน นพ.จอม ชุมช่วย จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเด็กและวัยรุ่น จากโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ กล่าวเพิ่มเติมถึง การแก้ไขความเครียดนอกจากการเล่นว่า “บางครั้งที่เด็กไม่รู้ตัว ว่าตนเองกำลังเผชิญกับความเครียด พ่อแม่จึงต้องสังเกตความเครียด ของลูกอย่างสม่ำเสมอ เพราะวิถีชีวิตของเด็กไทยนั้นมักจะอยู่กับการเรียนหนังสือและเรียนพิเศษเป็นหลัก ให้เวลากับการเล่นน้อย ซึ่งถ้าหากเด็กมีการเล่น ก็จะเกิดการเรียนรู้ มีการพัฒนาทั้งด้านความคิดอ่าน ขณะเดียวกันที่เล่นนั้น เขามีโอกาสที่จะเจอปัญหา และได้มีทางแก้ปัญหานั้น ดังนั้นพ่อแม่คือ เพื่อนเล่นที่ดีที่สุด ถ้าเด็กสนใจที่จะเล่นพ่อแม่ก็ต้องให้การสนับสนุนเขา หาเหตุผลในการเลือกการเล่นที่เหมาะสมให้กับเขา โดยจะต้องขึ้นอยู่กับความสนใจของเด็กเป็นหลัก ที่สำคัญพ่อแม่ต้องไขว่คว้าหาวิธีเลี้ยงลูกที่เหมาะสมให้ตัวเองด้วย” นอกจากนี้เหล่านักวิชาการยังมองในมุมเดียวกันว่า ประโยชน์ของการเล่นมีมากมาย การเล่นจึงเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก ในการพัฒนาเพลย์ คิว เพราะเพลย์ คิว จะมีความสอดคล้องกับการพัฒนาในทุกด้านและแทรกอยู่ในทุกกิจกรรม เพราะการเล่นเป็นการเติมเต็มชีวิตในวัยเด็ก บรีส เชื่อว่า การเล่น เป็นช่วงเวลาที่ปราศจากความเครียด เมื่อเด็กได้เล่น ได้เรียนรู้ด้วยตัวเองแล้ว จะทำให้เขา กลายเป็นเด็กที่เก่งและฉลาด บรีส จึงสนับสนุนให้เด็กได้เล่น เพระยิ่งเล่นเลอะ ยิ่งเยอะประสบการณ์ ดังนั้นปิดเทอมนี้ บรีส เปิดโอกาส ให้เด็ก ๆ เข้ามาวัดระดับ เพลย์ คิว ได้ฟรี ที่ อาคารยูนิลีเวอร์ แฟมิลี่ เลิร์นนิ่ง เซ็นเตอร์ ในพิพิธภัณฑ์เด็ก สวนจัตุจักร ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 12 พฤษภาคม 2549 ให้รู้กันไปเลยว่า เพลย์ คิว ใครเจ๋งบ้าง หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ บริษัท แม็กซิม่า คอนซัลแตนท์ จำกัด โทร. 0-2434-8300 สุจินดา, แสงนภา, ชลธิชา สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net